“Once Again Hostel” โมเดลธุรกิจเกื้อกูล

“Once Again Hostel” โมเดลธุรกิจเกื้อกูล

พวกเขาไม่แค่ทำธุรกิจ แต่อยากพลิกฟื้นชุมชนโบราณให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง จึงเลือกทำ "ธุรกิจเกื้อกูล" ที่สร้างผลประโยชน์ร่วมกันของคนทั้งห่วงโซ่

Once Again Hostel” คือชื่อของโฮสเทลน้องใหม่ที่อยู่ในศูนย์กลางเมืองโบราณของกรุงเทพมหานคร หมุดหมาย “ต้องห้ามพลาด” ของนักท่องเที่ยวต่างชาติในวันนี้

ไม่แค่การมีทำเลระดับดีเลิศ อย่างอยู่ในซอยสำราญราษฎร์ ถนนมหาไชย เขตพระนคร ห่างจากวัดภูเขาทองโดยใช้เวลาเดินเพียง 10 นาที ถนนข้าวสารเดินถึงใน 15 นาที ที่นี่ยังแวดล้อมไปด้วยชุมชนโบราณ อาทิ ชุมชนบ้านบาตร  ซึ่งประกอบอาชีพทำบาตรมาหลายยุคหลายสมัย ชุมชนบ้านตีทอง แหล่งตีทองคำเปลวที่สำคัญ ชุมชนวังกรมพระสมมตอมรพันธ์ ที่ทำสังฆภัณฑ์ จีวร สบง หรือจะชุมชนป้อมมหากาฬ ที่มีบ้านไม้โบราณ ต้นไม้ใหญ่ ฯลฯ ตัวอย่าง “เสน่ห์เมืองเก่า” ที่แวดล้อมโฮสเทลของพวกเขา

“เรามีชุมชนโบราณอยู่มากมาย แต่ภาพปัจจุบันคือ ชุมชนดีๆ หลายชุมชนต้องตายไป ไม่สามารถอยู่รอดได้ เพราะมีอุตสาหกรรมเข้ามา มีเรื่องของความล้าสมัย ไม่เท่ ไม่ฮิป เลยไม่มีใครต่อยอด เสน่ห์ต่างๆ แม้กระทั่งความเป็นไทยของเรา กำลังจะเลือนหายไป”

คำบอกเล่าของ “ศานนท์ หวังสร้างบุญ” ผู้ร่วมก่อตั้ง Once Again Hostelระหว่างขึ้นพูดในเวที Creative Citizen Talk 2016 ที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันก่อน สะท้อนหนึ่งปัญหาสำคัญที่มาพร้อมความเจริญของเมือง และการเติบโตของธุรกิจท่องเที่ยว เมื่อวัฒนธรรมอันดี สถาปัตยกรรมที่งดงาม แม้แต่ชุมชนโบราณ ก็กำลังจะเลือนหายสวนทางกับตัวเลขการท่องเที่ยว

หนุ่มวิศวกรอย่างเขา และเพื่อนซึ่งเป็นสถาปนิก “ภัททกร ธนสารอักษร” เจ้าของโลเคชั่นท่ามกลางชุมชนโบราณ จึงตัดสินใจพลิกฟื้นโรงพิมพ์เก่า มาเป็นโฮสเทล ขนาด 2 ชั้น สไตล์ปูนเปลือย โดยมีกลุ่มเป้าหมายคือนักท่องเที่ยวที่อยากเห็นความเป็นไทยแท้ๆ และมุ่งทำงานร่วมกับชุมชนเก่าแก่ที่กำลังจะหายไป เพื่อรักษา “เสน่ห์” ของพื้นที่แห่งนี้ไว้

“เราคิดถึงการทำให้ชุมชนต่างๆ กลับมามีชีวิตอีกครั้งหนึ่ง เลยตั้งชื่อโฮสเทลของเราว่า ‘Once Again Hostel’   และเราจะไม่ลืมมัน เพราะเป็นชื่อโฮสเทลของเราไปแล้ว” เขาบอกที่มา

โมเดลธุรกิจที่พวกเขาคิด แตกต่างจาก Business Model ตำราอื่น นั่นคือ คิดถึงสิ่งที่เรียก “ธุรกิจเกื้อกูล” (Inclusive Business)  โดยทุกจุดในการทำธุรกิจ ต้องเกื้อกูลถึงคนทั้งห่วงโซ่

เริ่มตั้งแต่ การตี “ห่วงโซ่คุณค่า” (Value Chain) ของธุรกิจทั้งหมดออกมา ไม่ว่าจะ การซ่อมบำรุง กิจกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นในโฮสเทล งานหัตกรรม อาหาร การเดินทาง การรักษาธรรมชาติ กระทั่งเรื่อง การก่อสร้าง รวมถึงการที่ธุรกิจสามารถไปมีส่วนร่วมกับชุมชนได้ เช่น การจ้างงาน การส่งเสริมธุรกิจที่มีอยู่ในชุมชน จนถึงการมี  “ผลประโยชน์ร่วมกัน” (Mutual benefit) ซึ่งนั่นหมายถึงว่า จากนี้ไม่มีใครช่วยใคร แต่คือ “เราช่วยกัน” เพื่อทำให้มันดีขึ้น  

“ผมชอบโมเดลธุรกิจแบบนี้ เพราะว่า เรากับเขาเท่ากันโดยสิ้นเชิง ไม่ว่าเขาจะเป็นคนขับแท็กซี่ หรือคนขายอาหาร ก็มีศักดิ์เท่ากัน” คนหนุ่มบอก

วันแรกของการทำโฮสเทล ไม่ใช่การมานั่งออกแบบ ทำตึกให้สวย ให้ชิค แต่คือการไปหาซื้อหนังสือประวัติศาสตร์โบราณมาอ่าน ลงพื้นที่ไปในชุมชน เพื่อดูว่าเขาทำอะไรกันบ้าง ไปลองตีบาตร ไปซึมซับเรื่องราวของชุมชน จนเมื่อพร้อมก็กลับมาสร้างสรรค์ธุรกิจเกื้อกูล ที่นักท่องเที่ยวจะได้ช่วยชุมชนตั้งแต่เริ่มเช็คอินเข้าพัก

“เราไม่ตกแต่งสถานที่ด้วยสิ่งอื่น แต่ไปสนับสนุนคนในชุมชนให้ทำฝาบาตรมาติดผนัง จ้างงานคนในชุมชน มีอาหารเช้า ที่ทำจากคนในชุมชน มีกิจกรรมต่างๆ ที่พาลงไปในชุมชน มีร้านนวดข้างเคียงที่เราใช้บริการอยู่ มีเครือข่ายแท็กซี่ในชุมชน ที่สามารถเรียกใช้ได้ทันที นี่เป็นตัวอย่างธุรกิจที่เราสร้างขึ้น”

ตอบคอนเซ็ปต์โฮสเทลที่ดึงชุมชนมามีส่วนร่วม  และช่วยพัฒนาชุมชนไปพร้อมกับเมืองด้วย

มากกว่าคน ก็คือ “ต้นไม้” พวกเขาบอกว่า หน้าโฮสเทลมีต้นไม้อยู่ค่อนข้างเยอะมาก หลายคนคงเลือกตัดทิ้ง เพื่อไม่ให้บดบังทัศนียภาพของโฮสเทล แต่ที่นี่กลับเลือก “เก็บไว้” เพราะมองว่า ต้นไม้ก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่สามารถอยู่ร่วมกับเราได้

ปัจจุบัน Once Again Hostel ทำงานร่วมกับ 6 ชุมชนหลัก คือ ชุมชนวังกรมพระสมมตอมรพันธ์ ชุมชนนางเลิ้งซึ่งมีอยู่ 3 ชุมชน ชุมชนบ้านบาตร และชุมชนป้อมมหากาฬ รวมถึงจับมือกับธุรกิจที่มีแนวคิดเพื่อสังคม เช่น “คาเฟ่ เวโลโดม” (Cafe' Velodome) ซึ่งรณรงค์ให้คนเปลี่ยนวิถีการใช้ยานพาหนะมาเป็น “จักรยาน” ทำงานกับกลุ่ม “ทราเวลล์” (TRAWELL) เจ้าของรางวัลชนะเลิศจากเวที One Young World เมื่อปีก่อน โดยทำเรื่องการท่องเที่ยวชุมชนร่วมกัน และกำลังจะทำโรงเรียน ร่วมกับ Saturday School” โรงเรียนอาสาเฉพาะวันหยุด ซึ่งจะเปิดค่ายประมาณเดือนตุลาคมนี้

 “6 เดือนที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยวประมาณ 1 หมื่นคน มาพักที่โฮสเทลของเรา และมีรายได้เกิดขึ้นในธุรกิจ”

 เขาบอกผลลัพธ์ทางธุรกิจ ทว่านั่นไม่สำคัญเท่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับชุมชน หนึ่งตัวอย่างคือ การเพิ่มรายได้ให้กับชุมชน โดยการสร้างผลิตภัณฑ์ร่วมกันขึ้น

“ทุกครั้งที่ทำสบง เขาจะเหลือเศษผ้าชิ้นเล็กๆ เป็นรูปสามเหลี่ยม ปกติแล้วเขาจะได้เงินประมาณ 1 บาท ต่อผืน เราบอกว่า คุณเย็บแบบนี้ได้ไหม เราจะเอามาทำเป็นกระเป๋าผ้า โดยจะให้เขา 20 เท่า โดยเขาจะได้ 20  บาท จากการเย็บพื้นที่ด้านในอย่างเดียว แล้วเราจะมาช่วยขาย และแบ่งเงินให้เขา เพื่อเป็นเงินหมุนเวียนขึ้นในชุมชน”

จากรายได้ทางตรงที่เกิดขึ้น ยังมีภาพสะท้อนจากเพื่อนบ้าน เช่น ร้านข้าวต้มเป็ดข้างเคียง ที่เปลี่ยนมาทำร้านแบบปูนเปลือย มีเพิ่มเมนูภาษาอังกฤษ เพื่อรับรองนักท่องเที่ยวต่างชาติ และกำลังจะมีคลาสสอนทำอาหารร่วมกับ Once Again Hostel อีกด้วย ตัวอย่างการปลุกเศรษฐกิจข้างเคียง ให้เติบโตไปพร้อมกับพวกเขา

 “ที่ผมชอบที่สุดคือ ผมเป็นคนชอบปั่นจักรยาน วันหนึ่งจักรยานผมหายไปกลางดึก อีกวันหนึ่งชาวบ้านมากันเยอะมาก มาช่วยกันหา จนประมาณเที่ยงจักรยานผมตั้งอยู่หน้าโฮสเทลแล้ว รู้สึกประทับใจมาก เพราะว่านี่เป็นเรื่องของเรา แต่เขาทำเหมือนกับเป็นเรื่องของเขา มันมากกว่าการทำธุรกิจ แต่เราคือเพื่อนกัน คือความรักที่มีต่อกัน” เขาบอกความประทับใจ หนึ่งผลตอบแทนที่ได้จากการทำธุรกิจเกื้อกูล

วันนี้การทำงานเพื่อชุมชนยังไม่หยุดนิ่ง และดูจะเป็นงานที่ใหญ่และท้าทายขึ้น โดยล่าสุดมีการรวมพลังคนทำงานด้านการท่องเที่ยวชุมชน ตั้งกลุ่มชื่อ “มหากาฬโมเดล” ขึ้น เพื่อรวบรวมข้อเสนอต่างๆ และแนวทางแก้ปัญหา “เชิงบวก” เพื่อลดความขัดแย้งระหว่างภาครัฐกับชุมชนป้อมมหากาฬ  

“คนที่อยู่ในพื้นที่ เราไม่ได้มองพวกเขาว่าเป็นปัญหา แต่มองว่าเป็นคนที่มีศักยภาพในการเล่าเรื่อง หรือดูแลสถานที่นั้นๆ ผมเองอยากเห็นกรุงเทพเป็นเมืองของผู้คนที่ยังมีเสน่ห์ และยังอยากรักษาไว้” เขาบอกความมุ่งหมาย

ในฐานะคนตัวเล็กๆ ที่เชื่อว่า สิ่งที่จะทำให้เมืองกลายเป็นเมืองขึ้นมาได้ ไม่ได้อยู่ที่นักออกแบบที่เก่ง แต่อยู่ที่ “คน” อยู่ที่ความเป็นมนุษย์ของเรา ในการร่วมสร้างสรรค์เมืองที่มีเสน่ห์ให้เกิดขึ้นด้วยสองมือเล็กๆ ของพวกเราทุกคน

“ผมอยากสร้างเมืองที่เราอยากเห็นด้วยตัวเองได้ เริ่มจากโฮสเทลเล็กๆ โฮสเทลหนึ่ง ผมเชื่อว่า ทุกคนมีศักยภาพมากกว่าผมแน่ๆ หลายๆ คน สามารถทำสิ่งที่ตัวเองถนัด แล้วมาพัฒนาเมืองได้ในขณะเดียวกัน อยากให้ทุกคนเริ่มที่ตัวเองแล้วทำเมืองของเราให้น่าอยู่ไปพร้อมกัน” เขาทิ้งท้ายไว้

เพื่อให้เสน่ห์ของความเป็นไทยยังคงอยู่ ไม่ว่าเมืองจะเติบโต หรือผู้คนจะเปลี่ยนไปมากแค่ไหน..นับจากนี้