เรื่องดีๆ ที่ซ่อนอยู่ ทนงศักดิ์ ศุภการ

เรื่องดีๆ ที่ซ่อนอยู่  ทนงศักดิ์ ศุภการ

ไม่ใช่ความบังเอิญที่ใครๆ จะคิดบวกได้ทุกคน เขาคนนี้ก็ผ่านการฝึกฝน เรียนรู้ เพื่อที่จะเอาชนะเรื่องร้ายๆ ในชีวิต


ไม่ต้องกล่าวให้มากความ สำหรับผู้ชายคนนี้ ทนงศักดิ์ ศุภการ ใครๆ ก็รู้จักเขาในฐานะนักแสดง,นักวิ่ง,หัวหน้าช่างภาพ นิตยสารพลอยแกมเพชร และนักพูดสร้างแรงบันดาลใจ เพื่อให้คนปรับทัศนคติใช้ชีวิตอย่างมีความสุข

ซึ่งการพูดคุยครั้งนี้ นอกจากผู้สัมภาษณ์ ยังมีทีมงานอีกสองคนตามไปฟังเรื่องเล่า และเราทั้งหมดก็ได้แรงบันดาลใจกลับมาใช้กับชีวิต
ถ้าอย่างนั้น ผู้ชายคิดบวกคนนี้...คิดอะไรอยู่

“ทุกๆ เรื่องที่เกิดขึ้นกับชีวิตเรา ย่อมมีเรื่องราวดีๆ ซ่อนอยู่”
“ผมว่า ชีวิตเราไม่ได้เกิดมาเพื่อทำงาน แต่เราเกิดมา เพื่อมีความสุข”
“คนทั้งโลกบอกว่า คุณลดความอ้วนไม่ได้หรอก ถ้าคุณเชื่อแบบนั้น คุณทำไม่ได้หรอก คุณต้องเชื่อก่อนว่า คุณทำได้ คุณทำตามพื้นที่ที่คุณมี ”
ฯลฯ

ที่กล่าวมา ดูเป็นพระเอ๊กพระเอก...

ถ้าอย่างนั้น ลองดูสิว่า "เรื่องร้ายๆในชีวิตของเขา มีเรื่องอะไรดีๆ ซ่อนอยู่"
เมื่อ 22 ปีที่แล้ว ทนงศักดิ์ถูกไฟช็อตเข้าโรงพยาบาล หมอคนหนึ่งบอกว่าต้องตัดแขน หมออีกคนบอกว่า "เสียดายของ (แขน)" และหมอคนนั้นเก็บแขนที่กระดิกนิ้วไม่ได้เลยไว้ให้ แต่ไม่ใช่แค่นั้น....

ส่วนอีกช่วงภรรยาป่วยเป็นมะเร็ง เขาทำทุกอย่าง เพื่อสร้างกำลังใจให้ตัวเอง ภรรยาและครอบครัว ตอนนั้นบนบานไว้ว่า ถ้าภรรยาหายป่วย จะออกวิ่ง
ในที่สุด ภรรยาจากไป เขาไม่จำเป็นต้องออกวิ่งจากกรุงเทพฯไปดอยตุงก็ได้ แต่ออกวิ่งเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้
31 วัน เหนื่อยแทบขาดใจ และคิดว่าจะเลิกวิ่ง แต่ก็วิ่งมาจนถึงทุกวันนี้ ด้วยเหตุผลบางอย่าง...

รวมถึงเรื่องการใช้ชีวิต เขามีมิตรไมตรีกับคนทุกเพศ ทุกวัย ทุกอาชีพ และไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นดาราเหนือชั้นกว่าคนอื่น
ที่กล่าวมาทั้งหมด ไม่ใช่ว่า เขาดีเลิศกว่าคนอื่น แต่เขาเรียนรู้ที่จะเข้าใจตนเองและผู้อื่น

ความคิดที่อยากจะช่วยเหลือผู้อื่นมีมาตั้งแต่เมื่อไหร่
นานละ อยากทำก็ทำ แต่เน้นตอนที่ภรรยาเสียชีวิต จะเน้นเรื่องสุขภาพ จริงๆ แล้วเริ่มมาตั้งแต่ตอนที่โดนไฟฟ้าแรงสูงดูด ต้องใช้ชีวิตอยู่โรงพยาบาลนานมาก ก็เห็นว่าการมีสุขภาพที่ดีสำคัญ เมื่อ 22 ปีที่แล้วแขนใช้การไม่ได้ปีหนึ่ง

ทำอย่างไรแขนจึงกลับมาใช้งานได้เหมือนเดิม
ย้อนไปถึงตอนนั่งแท็กซี่ไปโรงพยาบาล รู้สึกว่า แขนคงไม่อยู่กับเราแล้ว ขยับไม่ได้เลย ตอนนั้นถ้าเข้าห้องผ่าตัดออกมาไม่มีแขน ผมก็คงเฉยๆ หมอคนหนึ่งบอกว่าต้องตัดแขน หมออีกคนเสียดายของ (แขน) อยากเก็บแขนเราไว้ เพื่อรักษา ก็เหมือนรถเสียเข้าอู่ คนหนึ่งบอกว่าเปลี่ยนอะไหล่เลย อีกคนบอกว่าซ่อมได้ ขึ้นอยู่กับทัศนคติ จริงๆ แล้วถ้าหมอตัดแขน สามวันก็กลับบ้านได้

เป็นความโชคร้ายในความโชคดี ?
โชคดีที่เจอหมอศัลยกรรมที่เก่ง ตอนนั้นเป็นวันที่ 1 มกราคม ช่วงนั้นหมอไม่น่าจะอยู่ ตอนนั้นหมอคนนั้นผ่าตัดอยู่ที่โรงพยาบาลหัวเฉียว หมอทางนี้โทรไปอยากให้มาช่วย ทั้งๆ ที่หมอคนนั้นไม่ค่อยรับรักษาคนไข้ในโรงพยาบาลเอกชน หมอติดผ่าตัดอยู่ ก็ถามทางนี้ว่า รอได้ไหม และเขาก็มาผ่าตัดแขนให้ผม ตื่นมา แขนผมยังอยู่

คุณบอกว่า ถ้าตอนนั้นไม่มีแขนก็เฉยๆ คิดอย่างนั้นจริงๆ หรือ
เราเป็นคนที่ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ง่าย ตอนนั้นผมขึ้นรถเครนไปถ่ายภาพ รถไปแตะสายไฟ เพราะความประมาท ไม่ได้เอาทีมงานไป ชอบไปไหนคนเดียว ทำงานคนเดียว ก่อนหน้านั้นเคยโดนครั้งหนึ่ง แต่มีทีมงานอยู่ ก็คิดว่าไม่น่ากลัว และไม่ได้คิดว่า จะเป็นแบบนี้ ถ้าวันนั้นโดนหนักๆ ก็คงตาย

ตอนนั้นนอนโรงพยาบาลนานแค่ไหน
หกเดือนนอนในโรงพยาบาล ตอนนั้นคิดว่า คงต้องหาอาชีพอื่น แขนใช้ไม่ได้ข้างหนึ่ง เล่นละครก็ไม่ได้ ถ่ายรูปก็คงลำบาก ก็คิดว่าคงไปทำสวน แต่ก็คิดว่า เออ! เรายังมีชีวิตอยู่ ไม่ตาย มีแขนข้างเดียวเท่านั้นเอง ไม่ฟูมฟาย ก็รับสภาพไป

หกเดือนในโรงพยาบาล คุณได้ทบทวนอะไรบ้าง
ก่อนหน้านี้ผมเพิ่งมีลูกคนแรก แล้วมีพี่คนหนึ่งมาขายประกัน เขาบอกว่า ประกันอันนี้คุ้มครองนอนโรงพยาบาลได้ 45 วัน ผมไม่ได้คิดจะซื้อ เราค่อนข้างแข็งแรง ออกกำลังกาย กินอาหารที่มีประโยชน์ ไม่เคยคิดเรื่องอุบัติเหตุ แต่ผมก็ซื้อประกัน สองเดือนที่นอนโรงพยาบาล มีแผลที่สะโพกซ้ายและขาขวา นอนพลิกตัวไม่ได้เลย เกือบทุกคืนฝันว่าโดนไฟดูด เหมือนฝันว่าหนีผี นึกถึงเส้นความเป็นความตาย มันน่ากลัว เพราะเรายังไม่พร้อม และไม่เคยคิดมาก่อนว่า ความตายจะมาเร็ว

เป็นช่วงฝันร้าย และกังวลตลอด ?
ณ วินาทีนั้น ก็คิดว่า ถ้าเราตายไป ก็น่ากลัว ก็คิดว่า เราโดนจริงๆ หรือเนี่ย เหมือนปฎิเสธตัวเอง ไม่ต่างจากขับรถชน แล้วถามตัวเองว่า ชนจริงหรือ เหมือนไม่ยอมรับสภาพความเป็นจริงที่เกิดขึ้น

แล้วคุณคิดต่อไหมว่า ถ้าหายแล้ว ชีวิตจะเดินต่อไปอย่างไร
ยังไม่คิดอะไร แค่ทำตรงนั้นให้ดีที่สุด ตอนนั้นหมอบอกว่า แขนคงใช้ได้ไม่ดีเหมือนเดิม สองเดือนทำกิจวัตรประจำวันทุกอย่างบนเตียง ทำได้อย่างเดียวคือ ใช้แขนอีกข้างแปรงฟัน ก็คิดว่าเราอยู่ในสภาพนี้ได้ยังไง ไม่ได้รู้สึกแย่มากมาย เพราะสุดท้ายแล้ว เมื่อจนตรอก เราจะสู้ แต่คนเราจะเลือกสู้แบบแย่ๆ หรือสู้แบบอารมณ์ดี นก-ฉัตรชัยมาเยี่ยมแล้วพูดว่า มีคนบอกว่ามึงโคม่า แต่ทำไมมึงยังอารมณ์ดี ผมก็บอกว่า จะให้รู้สึกแย่ไปทำไม มันเกิดขึ้นแล้ว
และวันที่หมอบอกผมว่า คุณอาบน้ำได้แล้ว ซึ่งเราไม่เคยรู้สึกมาก่อนว่า การอาบน้ำด้วยมือเราเอง มีความสุขมาก ตลอดสองเดือนมีคนเช็คตัวให้ มันไม่ชุ่มช่ำ และนั่นทำให้รู้ว่า ความสุขของคนเรา มันอยู่แค่นี้ มีมือที่จะทำอะไรได้ตั้งเยอะ ทำไมเราต้องไปไขว่คว้าหาความสุขจากที่อื่น

เป็นจุดพลิกผันของชีวิต ?
ตอนนั้นหมอเอาเข็มไปเจาะหาเส้นประสาท แล้วหมอ 3-4 คนก็สรุปว่า ผมจะใช้มือไหว้ได้ แต่จัดการนิ้วไม่ได้ เพราะเส้นประสาทมีปัญหา ต้องใช้เวลาหนึ่งปีฟื้นฟู ทั้งกระตุ้น กระตุก ช็อตไฟฟ้า หนึ่งปีไม่ทำงานเลย ขอทุ่มเทรักษาแขน ต้องทำเต็มที่ก่อน ซึ่งเราเห็นเลยว่า หลายคนที่สโตร๊ก หรือมีปัญหาต้องทำกายภาพ สาเหตุที่ไม่ดีขึ้นเพราะทำไม่ต่อเนื่อง ไม่สู้ เจ็บก็เลิก ตอนนั้นสภาพผมเหมือนเด็กที่หัดจับของ กล้ามเนื้อใช้การไม่ได้ จนแขนผมใช้งานได้เหมือนเดิม เพราะกายภาพ และผมสู้ มหัศจรรย์มาก

หนึ่งปีที่ต้องฝึกฝนการใช้แขนให้เหมือนเดิม คุณได้เรียนรู้อะไรบ้าง
ได้เรียนรู้ว่า สำคัญที่สุดคือ นิ้วโป้งต้องขยับได้ก่อน ทุกนิ้วมีความสำคัญ บางทีคนเราอาจไม่พอใจ มือไม่สวย ขาไม่สวย นั่นทำให้เรามองเห็นว่า จริงๆ แล้วทั้งหมดที่เรามีดีอยู่แล้ว แต่เราไปเห็นคนอื่นดีกว่า อะไรที่เป็นของเราดีหมด นั่นทำให้ตกตะกอนความคิดในบางเรื่อง

ตกตะกอนความคิดเรื่องอะไร
ผมเคยอยู่วัดมาก่อน ก็จะเห็นอะไรบางอย่าง บางคนมาขอข้าววัดกิน บางคนมาสร้างวัดบริจาคเป็นสิบๆ ล้าน แต่พอโดนเก็บค่าจอดรถ 10 บาท ก็พูดว่า ไม่รู้หรือว่าเขาเป็นใคร ก็เลยต้องแสดงอิทธิฤทธิ์ให้เด็กเฝ้าที่จอดรถเห็น เมื่อรูู้เห็นแล้วก็ทำให้เราลดทอนตัวตน ยิ่งแสดงละครก็ยิ่งเห็น ผมเคยแสดงเป็นคนยากจนบ้าง เศรษฐีบ้าง เมื่อมาถึงจุดหนึ่ง ทำให้เราเข้าใจคนอื่น มนุษย์เราตัดสินคนอื่นจากแง่มุมที่เราเป็น ผมมองว่าชีวิตเราเลือกได้ แต่เราไปมองคนอื่นที่มีมากกว่า
เริ่มเห็นว่า ถ้าวันหนึ่ง เราต้องจากไปอย่างกะทันหัน เราพร้อมหรือยัง เรายังไม่พร้อม เรายังทำบุญทำดีไม่พอ เหมือนการทำบาป มันลดทอนไม่ได้หรอก แต่เจือจางได้ด้วยส่วนดีๆ ที่เราทำ มนุษย์ทุกคนทำทั้งบาปและบุญ ตอนเราอยู่วัดก็คิดว่า ทำไมคนแก่ๆ ไปวัด คนหนุ่มสาวไม่ค่อยไป คนแก่ทำอย่างนั้น เหมือนสัญญาณบางอย่างเพื่อบอกเรา แต่เราไม่เชื่อคนแก่ จนกว่าเราจะมาถึงจุดนั้น

นั่นทำให้คุณเริ่มตระหนักรู้เรื่องความไม่แน่นอนของชีวิต?
เมื่อรู้ว่า ทุกอย่างไม่แน่นอน อย่ายึดติด ผมก็หันมาอ่านหนังสือธรรมะมากขึ้น จนมาเจออีกวิกฤติ ภรรยาป่วย โทรมาบอกว่า "หมอบอกว่าต้องคีโม แต่หมอไม่ได้บอกว่าเป็นมะเร็ง" หมอไม่อยากให้ตกใจ เรารู้เลยว่า แฟนต้องการกำลังใจ กำลังจะถ่ายละครวันแรก ก็บอกผู้กำกับว่า ไม่เล่นละ ถ้าเล่นซีนแรก ก็ต้องเล่นตลอด ทั้งๆ ที่เรารู้ว่าเงินจำเป็น แต่เวลาจำเป็นกว่า เงินหาเมื่อไหร่ก็ได้ ตอนนั้นผมเคลียร์งานที่เหลือทั้งหมด เอาเวลามาดูแลภรรยา ตอนเจอหน้าภรรยาที่โรงพยาบาล เธอก็พยายามยิ้มปลอบใจ

เมื่อภรรยาจากไปแล้ว คุณก็ออกวิ่ง เพราะบนบานเอาไว้ ?
ตอนนั้นผมไปบน ทั้งๆ ที่ไม่เคยทำอย่างนั้น เป็นฟางเส้นสุดท้ายที่เกาะเกี่ยวได้ ผมบนว่า ถ้าภรรยาหายป่วยจะวิ่งจากกรุงเทพฯไปดอยตุง และบอกภรรยาว่า หายแน่นอน ทำวีซ่าจะพาไปเที่ยวอเมริกาด้วยกัน ทำทุกอย่างให้เธอรู้สึกว่า มีโอกาสหาย สร้างบรรยากาศให้เธอมั่นใจ

ตอนนั้นคุณก็มีความหวัง?
มีความหวังอยู่ แต่สับสนว่า เราสร้างความหวังให้เขา แล้วเรารู้สึกแบบนั้นไหม ถ้าเราไม่รู้สึกกับสิ่งนั้น ไม่ใช่ละ ต้องรู้สึกว่าทำได้สิ เมื่อทำไม่ได้ ก็ยอมรับมัน สุดท้ายก็สู้ถึงที่สุด เมื่อเป็นไปไม่ได้ เราต้องรับผิดชอบสิ่งที่เราพูด ก็ถามตัวเองว่า ถ้าภรรยาหายป่วย เราจะวิ่งจริงๆ หรือ 900 กิโลเมตร นั่นเมื่อ11 ปีที่แล้ว ผมก็วิ่งเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้ภรรยา

อีกอย่างตอนอยู่โรงพยาบาล ผมเห็นคนป่วยเยอะมาก ทำให้ผมอยากรณรงค์เรื่องการออกกำลังกาย ป่วยเป็นมะเร็งอาจช่วยไม่ได้ แต่คนที่เป็นความดัน เบาหวาน สโตร๊ก มาจากพฤติกรรมการใช้ชีวิต ทำให้ผมคิดว่า ความเครียดเรื่องหน้าที่การงานไม่สำคัญเท่าสุขภาพ ถ้าตำแหน่งที่หวังหลุดมือไปบ้าง ถ้าเรายังสุขภาพดี ก็มีโอกาสอีก ทุกเรื่องที่เกิดขึ้น เมื่อเวลาผ่านไป ก็มีเรื่องดีๆ ซ่อนอยู่ แต่ไม่ได้บอกว่าสิ่งที่เราทำถูกต้องเสมอ เพราะคนเรามักตัดสินคนอื่นโดยใช้พื้นฐานตัวเอง

วิ่งเพื่อตอกย้ำว่า การดูแลสุขภาพสำคัญมาก ?
ตอนวิ่งไปดอยตุง ตอนนั้นถ่ายละครอยู่ ก็ทิ้งเงินค่าตัวไปเยอะ ต้องซ้อมวิ่ง พอจัดกิจกรรมการวิ่ง ก็มีคนบอกว่า คุณอยากได้เงินบริจาคก็หักรายได้จากการวิ่งสิ ผมบอกว่า ที่ผมวิ่งไม่ใช่เรื่องเงินบริจาค ได้เงินเป็นล้านก็ช่วยคนเป็นมะเร็งได้ไม่กี่คน แต่ผมอยากเล่าเรื่องราว เชื่อมโยงกับทุกคน ถ้าเราปฎิเสธมัน เราก็ไม่ได้เรียนรู้
วิ่งไปกลับกรุงเทพฯ-ดอยตุง ทั้งร้อนและทรมาน วิ่งอยู่ 31 วัน กลับมาก็คิดว่า ไม่เอาแล้วทรมาน แต่พออยู่ตัว เริ่มเข้าใจ เราก็คิดว่า เวลาเราบอกอะไรลูกเรายังต้องจ้ำจี้จ้ำไช เพราะเรารักเขา แล้วทำไมเราบอกผู้คนแค่ครั้งเดียว(วิ่ง) แล้วเลิกบอก แสดงว่า เราไม่ได้รักเขาจริง

นอกจากการวิ่ง คุณยังมีกิจกรรมเพิ่มอีกอย่างคือ เป็นนักพูดที่สร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คน ?
เวลาพูดให้คนฟัง เมื่อมีคนชื่นชม เราก็อยากเรียนรู้เพิ่ม อยากรู้ว่า ทำไมคนเรายังมีความสุขความทุกข์ ทำไมบางเรื่องเราปล่อยวางไม่ได้ ก็เริ่มศึกษา บังเอิญน้องชายไปอบรมคอร์สหนึ่ง คนบรรยายเป็นชาวอินเดีย กว่าจะได้เข้าอบรมจองสองเดือน นอกจากคนบรรยาย ยังมีวิทยากรจากทั่วโลก 30-40 คน ซึ่งอธิบายได้ชัดในเรื่องการใช้ชีวิต

ก็แนวพุทธนั่นแหละ แต่เป็นพุทธที่มีคำอธิบาย อบรมสามวันมีการบ้านด้วย สุดท้ายคีย์หลักก็คือ “คุณไม่มีตัวตนหรอก แต่ที่คุณเป็นแบบนี้ เพราะคุณมีอัตตา” ตอนนั้นคนมาอบรมและวิทยากรชาวต่างชาติเจอกันก็กอดกัน เราก็คิดว่า มันล้างสมองหรือเปล่าวะ เราสัมผัสได้ด้วยพลังแบบนั้น

ตอนนั้นน้องชายมีปัญหากับแม่ยาย ลาออกจากงานประจำไปช่วยงานบริษัทฝ่ายภรรยา ช่วงเศรษฐกิจไม่ดีก็ช่วยเต็มที่ ห้าปีผ่านไป โดนแม่ยายไล่ออก ตอนอบรมน้องชายขึ้นไปพูดบนเวที แล้วบอกว่า ชีวิตเขามีผู้หญิงคนหนึ่งที่เขาเกลียดมาก คนนี้คือปีศาจร้าย และอยากให้คนรู้จักปีศาจร้าย เป็นคนที่แย่มาก เขาเชิญแม่ยายขึ้นเวที หลังจากเข้าคอร์สแล้ว เขากราบขอโทษแม่ยายที่เขาเข้าใจผิด นี่คือสิ่งที่เขาได้จากการอบรม

ปัญหาที่เกิดขึ้น คือคิดคนละมุม ?
ไม่ได้แง่มุมอะไรเลย คนเราไปบล็อคความคิดตัวเอง คิดว่าคนนั้นไม่ดี คนนี้แย่ เราคิดไปเอง เพราะความมีตัวตนของเรา สุดท้ายความทุกข์อยู่ที่เรา อย่างกรณีน้องชายผม จริงๆ แล้วไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น คงเป็นความจริงของแต่ละคน ดังนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นไม่มีอะไรจริง อยู่ที่ใครเป็นคนพูด

จากที่คิดว่า การอบรมคอร์สนั้นล้างสมองหรือเปล่า คุณกลับได้อะไรมากมาย
สิ่งที่เรารู้ ก็เป็นเรื่องพุทธศาสนา ไม่เคยมีคนอธิบายให้ผมเข้าใจ แต่วิทยากรอธิบายได้ชัด ไม่ใช่จะทำได้ทุกคน คำว่า สัจจะ ในคอร์สนี้ เขาใช้คำว่า ความสมบูรณ์แบบ แล้วความสมบูรณ์แบบของคุณคืออะไร คำพูดของคุณ คือ คำพูดของคุณ เมื่อคุณพูดอะไรออกมา คุณต้องเป็นอย่างนั้น เพราะคุณคือคำพูดของคุณ คุณต้องมีสัจจะ ยกตัวอย่าง คุณบอกจะมาหาผมสี่โมง แต่คุณมาห้าโมง แล้วไม่โทรมาบอก คุณมีเหตุผลของคุณ แต่คุณไม่เคารพเวลาคนอื่น
เราเรียนวิชาพวกนี้ เพื่อปรับปรุงตัวเอง เหมือนการเรียนธรรมะนั่นแหละ ทำให้เข้าใจตัวเอง ไม่ใช่รู้เพื่อปรับคนอื่น และทำให้ผมเข้าใจคนอื่นมากขึ้น ต้องฝึกจัดการกับวิธีคิดของเรา อย่างเรื่องลูก ทำให้ผมเข้าใจ ชีวิตเขาก็คือชีวิตเขา เราก็คือเรา เราก็ดูแลส่วนหนึ่ง และไม่ต้องกังวลกับเรื่องที่จะเกิดขึ้น เพราะทุกเรื่องที่เกิดขึ้นมีเรื่องดีซ่อนอยู่ มันคือชีวิตเขา เขาต้องตัดสินใจเอง ไม่ต้องไปครีเอทชีวิตเขาหรอก

จากนั้นคุณก็ค่อยๆ สะสมประสบการณ์ จนมาเป็นวิทยากร บรรยายให้กำลังใจผู้คน ?
เมื่อ 4 ปีที่แล้ว เราก็คิดว่า น่าจะลองส่งต่อความคิดความรู้สึก พอเราไม่มีตัวตน ไม่มีผิด ไม่มีถูก เราก็ทำคอร์สฟรีๆ ให้น้องๆ เพราะคนเราไม่เคยคุยกันแบบเปิดใจ เนื่องจากตัวตนบางอย่างที่แอบซ่อนอยู่ บางทีคนก็คิดว่า เรื่องของเขาไม่จำเป็นต้องบอกให้ใครรู้ มันเป็นเรื่องน่าอาย สุดท้ายแล้วไม่มีอะไรน่าอาย
เราคิดไปเองว่า คนอื่นแคร์เรา ไม่มีใครแคร์คุณจริงๆ หรอก ถ้าผิดพลาดก็ทำใจยอมรับมัน ถ้าเป็นแผลก็เปิดให้โดนอากาศ แผลมันจะได้แห้ง ถ้าคนรักทิ้งคุณไป คุณต้องทำให้เขารู้ว่า เขาทิ้งคนที่มีคุณค่า เราสร้างมูลค่าตัวเราด้วยการสะสมคุณค่าในชีวิต ความเชื่อต้องสร้างขึ้นมาด้วยตัวคุณเอง ต้องทำให้ดีที่สุดเท่าที่คุณทำได้ ไม่ต้องเปรียบเทียบกับคนอื่น ฝึกไปเรื่อยๆ ถ้าเราไม่มีตัวตน อะไรที่เราสร้างสรรค์ก็เป็นสิ่งใหม่ เหมือนเราคิดว่า เราเป็นศูนย์ ใส่อะไรเข้าไปก็งดงาม

มนุษย์เราทุกข์ เพราะซ่อนอะไรบางอย่างเอาไว้?
ถ้าเปิดเมื่อไหร่ ก็แค่นั้น ผมเองก็เคยไปเป็นอาสาสมัครในคอร์สที่ผมเสียเงินอบรม ผมอยากรู้ว่า ทำไมคนยังมาเป็นอาสาสมัคร ทั้งๆ ที่เสียเงินซื้อข้าวกินเอง ผมก็ได้เห็น ถ้าเมื่อใดมีคนหลุดจากความทุกข์ เหมือนเราได้ร่วมทำบุญ เเมื่ออาสามาแล้ว ผมไปช่วยเข็นกระดานดำ เขาก็ไม่ได้ประกาศยกย่องหรือขอบคุณดารานักแสดงชื่อทนงศักดิ์ แต่สังคมไทยจะให้ความเป็นตัวตน คนกลุ่มนั้นไม่ได้ให้ความเป็นตัวตน นี่ไง ถ้าคุณเผชิญกับทุกสถานการณ์ได้ ชีวิตคุณมีความสุขได้ทุกพื้นที่

ได้เรียนรู้ความไม่มีตัวตนด้วยตัวเอง ?
พอผมมาทำคอร์สให้คนยี่สิบกว่าคน มีคนหนึ่งทะเลาะกับพ่อ ไม่พูดกัน 12 ปี หลังจากเข้าคอร์ส ผมบอกว่าให้โทรไปหาพ่อเลย ไม่ต้องรอ โทรเดี๋ยวนี้ จากนั้นเขาก็คุยกับพ่อ เอาน้ำล้างเท้าพ่อ ไม่ใช่เราเก่ง แต่เขาลงมือทำ หรือมีน้องคนหนึ่งบอกว่า ตอนอายุ 5 ขวบถูกข่มขืน มีผู้ชายอีกคนเล่าว่า ตอนเด็กๆ ถูกกะเทยกระทำชำเรา หรืออีกคน ลูกสาวเดินมาบอกว่า ท้องสามเดือน ผมก็บอกว่า เปิดออกมาเลย ไม่ต้องปิด แต่คนเราต้องมีวิธีบอกสิ่งที่ผิดพลาด ทุกอย่างเป็นการเผชิญกับความจริง แล้วจะทำให้เราสบายใจ

แล้วคุณนำมาใช้กับชีวิตอย่างไร
หน้าที่ของเราคือ ลงมือทำและเรียนรู้ ได้แค่ไหนก็แค่นั้น ถ้าเราอยากพัฒนาตัวเอง ทุกพื้นที่ทำได้หมด เป็นการฝึกตัวเอง ผมเองก็ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ มองอะไรชัดขึ้น เห็นมุมบวกของชีวิตมากขึ้น บางทีเราไม่ต้องทำให้คนเห็นว่า เรามีน้ำใจ ไม่จำเป็น แค่คิดดีก็ดีแล้ว นั่นทำให้เราคิดละเอียดมากขึ้น การทำบางอย่างไม่จำเป็นต้องให้คนรับรู้ก็ได้ แค่คิดดีก็ฝึกตัวเองแล้ว เพราะมนุษย์เราขับเคลื่อนจากความกลัวข้างใน แต่ตอนนี้ไม่ใช่ละ อยากทำอะไรก็ทำ ทำให้เรากล้าขึ้น อย่างการเชิญคนมากินข้าว เขาจะกินหรือไม่กิน ก็เรื่องของเขา ถ้าเชิญแล้วไม่มา ก็เรื่องของเขา การปฎิเสธไม่ได้หมายความว่า อาทิตย์หน้า เดือนหน้า เขาจะปฎิเสธ มนุษย์เราเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา นั่นทำให้รู้ว่า ความทุกข์มันไม่มี

ตอนไหนที่ชัดขึ้นว่า ความทุกข์ไม่มี
ปี สองปี นี่แหละ ความทุกข์มันไม่มี ที่คุณทุกข์ ไม่ใช่ของจริงหรอก วูบแรกที่มีเรื่องเกิดขึ้นกับเรา คุณกังวลและทุกข์เอง ความทุกข์ของคุณ อาจเป็นความสุขของคนอื่นก็ได้ คุณคิดไปเอง ความทุกข์ความสุขไม่มีหรอก มีแต่เรื่องที่เกิดขึ้น แล้วคุณก็ไปใส่ความรู้สึกมัน

ฝึกตัวเองนานไหม
ต้องฝึก ถ้าวันนี้คุณวิ่ง 5 กิโลเมตรไม่ได้ คุณลองฝึกวิ่ง 500 เมตร ถ้าคุณไม่ฝึก คุณไม่มีทางวิ่งได้ห้ากิโลเมตร ผมวิ่งปกติได้วันละ 20-30 กิโลเมตร เพราะผมฝึกวิ่งวันนี้ 1-2 กิโลเมตร แล้วทำทุกวัน ถ้าจะวิ่ง 40 กิโลเมตร ก็ไม่ยาก ฝึกอีกนิด และระหว่างวิ่ง จุดสตาร์ทกับเส้นชัยเป็นเส้นเดียวกัน ดังนั้นให้ใช้เวลาทุกวันเหมือนเป็นวันสุดท้ายของชีวิต

ชีวิตมันเร็วมาก ไปต่างประเทศแป๊ปเดียว เดี๋ยวก็กลับแล้ว แล้วเราจะโกรธหงุดหงิดกันทำไม เสียเวลา ให้อภัยใครได้ ขอโทษใครได้ ทำเลย ไม่ต้องรอ ยกตัวอย่าง คนหักหน้าคุณ คุณต้องโกรธอยู่แล้ว แต่ถ้าโกรธแล้ว มันดีต่อคุณไหม ถ้าดี คุณก็ถือไว้ ถ้าไม่ดี..ถือไว้ทำไม ไม่ใช่ว่าคุณไม่โกรธ เพื่อให้เขาสบายใจ แต่คุณทิ้งความโกรธ เพื่อคุณเอง ทำให้ใจคุณสบาย

อย่างงานที่ไม่ได้เงิน ผมก็คิดว่า เป็นพื้นที่ให้เราฝึกตัวเอง ทำได้แค่ไหนแค่นั้น อย่าไปคาดหวังว่า ต้องทำให้ดีเท่าคนนั้นคนนี้ ดีของฉันคือดีของฉัน ไม่ต้องเปรียบเทียบ คราวหน้าดีขึ้น ดีขึ้นอีก ถ้าเราไปเปรียบเทียบกับคนอื่น เราจะไม่มีความสุข

นั่นทำให้คุณละเอียดกับชีวิตมากขึ้น ?
ยังไม่ดีพอ ยังมีส่วนที่ต้องพัฒนาอีก เราเชื่อว่า เราทำได้ดีกว่านี้ ต้องฝึกไปเรื่อยๆ ทุกเรื่องเป็นธรรมะให้เราฝึกตัวเอง เรายังฝึกฝนความเพียรไม่พอ โลกก็เป็นแบบนี้ ไม่โหดร้าย มันอยู่ที่มุมมอง ไม่มีใครสนใจเราจริงๆ หรอก พอหันหลังคนก็สนใจตัวเอง อย่าลดทอนพลังตัวเอง อย่างการวิ่ง ทำให้เรารู้ว่า ถ้าอยากวิ่งต่อ ต้องพัก ถ้าเครียดก็พัก เวลาผมสอนคนวิ่ง มีคนถามว่า อีกหกเดือนจะวิ่งได้ไหม เราก็บอกว่าจะกังวลทำไม ทำตอนนี้ให้ดีที่สุด ทำไปเรื่อยๆ สม่ำเสมอ

คุณคิดว่าจะอยู่ถึงอายุเท่าไหร่
90 ปี ยังวิ่งมาราธอนได้ เป็นความตั้งใจ แต่สิ่งที่เกิดขึ้น เราไม่รู้ เหมือนการใช้รถ เราบอกว่า เราจะถนอมมันให้ดีที่สุด ซึ่งการดูแลตัวเอง เป็นสถานการณ์ที่ควบคุมได้

ดูแลตัวเองอย่างไร
กินอาหาร ไม่ปรุงมาก พักผ่อนให้เพียงพอ อารมณ์สำคัญมาก ไม่ต้องกังวล ถึงเวลานอนก็นอน ฝึกตายก่อนตาย ถ้าพรุ่งนี้ไม่ตื่นมาก็ไม่ต้องกังวล ก่อนนอนเตรียมในส่วนที่จัดการได้ ไม่ต้องกังวลเรื่องลูก ต่างคนต่างมีชีวิต

ไม่กลัวความตาย ?
มนุษย์เราขับเคลื่อนชีวิตด้วยความกลัว กลัวดูไม่ดี กลัวคนว่าโง่ กลัวชีวิตล้มเหลว เราไม่รู้หรอกว่า เรากลัวเพราะอะไร แล้วเราจะข้ามความกลัวได้ยังไง เคยอ่านเรื่องนี้ไหม มีคนบอกว่าจิตสุดท้าย ถ้าคิดดี คุณก็ไปดี แต่จริงๆ แล้ว ถ้าคุณเลวแล้วจิตสุดท้ายคุณคิดดี คุณก็ไปดี...จริงหรือ
มันต้องเริ่มฝึก ไม่ใช่อยู่ๆ จิตสุดท้าย คุณจะคิดอย่างนี้ได้ อย่างคนที่ไปทำร้ายคนอื่น จิตก็ต้องมีความกลัวถูกเอาคืน แต่ถ้าคุณรู้สึกว่า ทุกคนเป็นมิตร มีแต่จิตที่แบ่งปัน ไปที่ไหนก็ได้ นี่คือการฝึก พระอาจารย์เคยถามว่า ทุกคนอยากตายที่ไหน...อยากตายที่บ้าน เพราะเราคุ้นเคย เป็นที่รวบรวมความรักกับคนที่เราสนิทที่สุดในชีวิต แต่ในความเป็นจริง เราไม่สามารถเลือกที่ตายได้ ต้องคิดว่า เราสามารถสร้างความรักได้ทุกๆ ที่ ตายกลางถนนก็ได้ คุณต้องฝึก คุณต้องเตรียมพร้อม

เหมือนใครบอกให้ไปอเมริกา คุณคว้ากระเป๋าไปได้เลย ไม่มีอะไรต้องห่วง ต้องเห็นว่า การไปตรงนั้น ต้องมีเรื่องราวดีๆ เกิดขึ้น เป็นเรื่องปกติ เหมือนคำอวยพรที่มีคนบอกว่า "ขอให้ครอบครัวมีการตายแบบเรียงลำดับ อย่าลัดขั้นตอน" แต่เลือกได้ไหม นี่เป็นบททดสอบ

คนจะช็อค เวลามีคนบอกว่า ป่วยเป็นมะเร็ง แต่พอมาถึงตัวเอง ก็จะคิดว่าเป็นได้ยังไง คนอื่นเป็นได้ คุณก็เป็นได้ ต้องฝึกตัวเอง สุดท้ายชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป โลกไม่ได้เลวร้าย มันเป็นไปตามเหตุปัจจัย เป็นแค่ของชั่วคราว เงินเป็นของคุณไหม คุณไปซื้อของ ก็เป็นของคนอื่นแล้ว ณ วันนี้ ณเดชน์ คูกิมิยะ โด่งดัง อีกหน่อยก็เปลี่ยน สมัยก่อนแหม่ม-จินตหราก็ดัง

เพราะฉะนั้นความตายคือความสมบูรณ์แบบของการมีชีวิต แค่นั้นเอง