'ศุภาลัย'คาดยอดโอนไตรมาส2พุ่ง รับมาตรการรัฐ

'ศุภาลัย'คาดยอดโอนไตรมาส2พุ่ง รับมาตรการรัฐ

"ศุภาลัย" คาดแนวโน้มยอดโอนไตรมาส 2/59 สูงกว่าไตรมาสแรกรับอานิสงค์มาตรการรัฐ เตรียมเปิด 17 โครงการใหม่ช่วงครึ่งปีหลัง รวม 2.5 หมื่นลบ.

นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บมจ.ศุภาลัย (SPALI) กล่าวว่า แนวโน้มยอดโอนในไตรมาส 2/59 จะสูงกว่าไตรมาส 1/59 ที่มียอดโอนได้ 6.27 พันล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากเป็นช่วงโค้งสุดท้ายของมาตรการรัฐในการลดหย่อนค่าธรรมเนียมการโอนและค่าจดจำนอง ทำให้ลูกค้าต่างเร่งโอนโครงการเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้ยอดโอนในเดือน เม.ย.59 เพียงเดือนเดียวอยู่ที่ 5 พันล้านบาท สูงกว่าทั้งไตรมาส 1/59 และเป็นตัวเลขยอดโอนในเดือนเดียวที่สูงที่สุดตั้งแต่บริษัทก่อตั้งมา โดยเฉพาะในวันที่ 28 เม.ย.59 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของมาตรการมียอดโอนอยู่ที่ 1 พันล้านบาท

อย่างไรก็ตาม หลังจากหมดมาตรการเรื่องการลดหย่อนค่าะรรมเนียมการดอนและการจดจำนองไปแล้ว บริษัทยอมรับว่ายอดโอนในช่วงที่เหลือของปีนี้คงชะลอตัวลงบ้าง แต่ยังมั่นใจว่ารายได้ทั้งปีจะยังสามารถทำได้ตามเป้าหมายที่ 2.2 หมื่นล้านบาท โดยรายได้ส่วนหนึ่งจะมาจากมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) ที่มีอยู่ในปัจจุบัน 1.16 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะทยอยโอนในไตรมาส 2/59 ถึงไตรมาส 4/59 จำนวน 1.16 หมื่นล้านบาท

นอกจากนี้ บริษัทจะการเปิดตัวโครงการแนวราบใหม่อีกจำนวนมากในช่วงครึ่งปีหลังจะเป็นอีกปัจจัยหนึ่งในการช่วยผลักดันรายได้ของบริษัทให้เป็นไปตามเป้าหมาย

นายไตรเตชะ กล่าวว่า ด้านยอดพรีเซลล์ของบริษัทในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้อยู่ที่ 6.6 พันล้านบาท จากเป้าหมายทั้งปีที่ 2.45 หมื่นล้านบาท แม้ว่ายอดขายในครึ่งปีแรกยังทำได้ไม่ถึง 50% ของเป้าหมาย เนื่องจากการเปิดขายโครงการใหม่มีไม่มาก แต่เชื่อว่ายอดขายจะเข้ามามากในช่วงครึ่งปีหลังจากการเปิดโครงการใหม่เพิ่มขึ้น

บริษัทวางแผนเปิดโครงการใหม่ในช่วงครึ่งปีหลัง 17 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 2.5 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 12 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 1.1 หมื่นล้านบาท และคอนโดมิเนียม 5 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 1.4 หมื่นล้านบาท จากครึ่งปีแรกบริษัทมีการเปิดโครงการทั้งหมด 11 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 1.21 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 9 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 8.5 พันล้านบาท และโครงการคอนโดมิเนียม 2 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 3.6 พันล้านบาท

สำหรับสถานการณ์โอเวอร์ซัพพลายด์ของตลาดอสังหาริมทรัพย์บนทำเลแนวรถไฟฟ้าสายสีม่วงนั้น บริษัทมีการตัดสินใจเลื่อนการเปิดโครงการในทำเลดังกล่าวออกไปอย่างไม่มีกำหนด เพื่อรอดูสถานการณ์ของอัตราการขายของโครงการที่เปิดขายอยู่แล้ว หลังจากการเปิดให้บริการรถไฟฟ้าสายสีม่วงอย่างเป็นทางการแล้ว ประกอบกับ มีความสนใจของลูกค้าในการซื้อโครงการในทำเลดังกล่าวก็ชะลอลง เนื่องจากรถไฟฟ้าสายนี้ยังมีปัญหาจุดเชื่อมกับรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินระยะทาง 1 กิโลเมตร

ที่ผ่านมาบริษัทมีโครงการที่เปิดขายอยู่ในทำเลดังกล่าวจำนวน 4 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 5 พันล้านบาท ซึ่งทำยอดขายได้มากกว่า 50% แต่ยังไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่บริษัทต้องการ ทำให้บริษัทจึงชะลอการเปิดโครงการใหม่ในทำเลแนวรถไฟฟ้าสายสีม่วงออกไป