'สรรเสริญ'ชี้รัฐบาลพท. ทำเศรษฐกิจโตต่ำสุดในอาเซียน

'สรรเสริญ'ชี้รัฐบาลพท. ทำเศรษฐกิจโตต่ำสุดในอาเซียน

"พล.ต.สรรเสริญ" อัดนักการเมืองความจำสั้น ชี้ รัฐบาลพรรคเพื่อไทย ทำเศรษฐกิจประเทศโตน้อยสุดในอาเซียน วอนหยุดโจมตี เพราะยิ่งพูดยิ่งเข้าตัว

พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ ส.ส.พรรคเพื่อไทย ยังคงออกมาโจมตีว่า เศรษฐกิจไทยเติบโตน้อยที่สุดในอาเซียนว่า น่าเสียใจ ที่ประเทศไทยยังคงมีกลุ่มนักการเมืองที่พยายามทำลายความเชื่อมั่นของประเทศตนเองในสายตาชาวโลกและนักลงทุน เพื่อหวังผลทางการเมือง ด้วยการจงใจกล่าวความเท็จ อยากเตือนความจำนักการเมืองที่อาจแกล้งมีความจำสั้น ว่า ในปี 2556 ที่รัฐบาลเพื่อไทยบริหารประเทศ ต่างหากเป็นปีที่เศรษฐกิจไทยเติบโตน้อยที่สุดในอาเซียน โดย ลาว เติบโตร้อยละ 7.8 กัมพูชา เติบโตร้อยละ 7.4 เมียนมาร์ เติบโตร้อยละ 6.4 อินโดนีเซีย เติบโตร้อยละ 5.6 เวียดนาม เติบโตร้อยละ 5.4 มาเลเซียและสิงคโปร์ เติบโตเท่ากันที่ร้อยละ 4.7 ขณะที่ประเทศไทยเติบโตร้อยละ 2.7 ต่ำที่สุดในอาเซียน เพราะการบริหารงานที่ผิดพลาด การทุจริตคอร์รับชั่น ที่กลายเป็นคดีความมากมายในปัจจุบัน รวมทั้งไม่มีประเทศใดในอาเซียนต้องเจอเหตุการณ์นักการเมืองปลุกระดมผู้หลงเชื่อให้ออกมาเผาบ้านเผาเมืองเหมือนประเทศไทย

พล.ต.สรรเสริญ กล่าวอีกว่า ในปี 2557 ประเทศไทยยังคงบอบช้ำต่อเนื่อง จากการกระทำของนักการเมืองบางกลุ่มที่ปลุกระดมให้เกิดความแตกแยกในสังคม และการทุจริตคอร์รับชั่นอย่างมหาศาล ส่งผลให้อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศตกต่ำต่อเนื่องเหลือเพียงร้อยละ 0.8 เทียบกับประเทศเมียนมาร์ที่เติบโตสูงสุดในอาเซียนที่ร้อยละ 8.7 ซึ่งประเทศไทยขณะนั้น เปรียบเหมือนคนป่วยไม่ใช่จากเชื้อโรคภายนอก แต่เป็นโรคภูมิแพ้ตัวเองจากน้ำมือนักการเมืองบางคนบางพรรค ดังนั้นคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ต้องเข้ามาทำหน้าที่หยุดเลือดที่ไหล นำประเทศไทยที่เป็นคนป่วยในห้อง ICU มาดูแลบำบัดรักษา จนปัจจุบันลุกขึ้นนั่งได้ เดินได้ และเตรียมพร้อมที่จะออกวิ่ง เพื่อชดเชยกับเวลาที่สูญเสียไป โดยรัฐบาลก็ทำอย่างเต็มที่จนอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยเติบโตต่อเนื่องจนถูกจัดอันดับให้อยู่ในกลุ่ม 25 ประเทศแรกที่น่าลงทุนสำหรับนักลงทุนต่างชาติ

“อยากเรียกร้องให้ ส.ส.พรรคเพื่อไทยหยุดพูดข้อมูลจริงปนข้อมูลเท็จ ให้ร้ายประเทศได้แล้ว เพราะยิ่งพูดก็ยิ่งเข้าเนื้อตนเอง และอยากขอความร่วมมือสื่อมวลชน หากพิจารณาแล้วพบว่า ข้อมูลบางอย่างไม่ถูกต้อง ก็ไม่ควรเผยแพร่ เพราะจะเป็นการสนับสนุนคนที่พูดจาไร้ความรับผิดชอบ และอาจสร้างความสับสนให้แก่สังคม มั่นใจว่าสื่อมวลชนตัดสินใจได้และเลือกที่จะอยู่เคียงข้างสังคมไทยและประเทศไทย” โฆษกประจำสำนักนายกฯ กล่าว