'PTTGC'คาดราคาน้ำมันช่วง3-5ปี แกว่ง45-60ดอลลาร์

'PTTGC'คาดราคาน้ำมันช่วง3-5ปี แกว่ง45-60ดอลลาร์

"PTTGC" คาดการณ์ราคาน้ำมันดิบดูไบในช่วง 3-5 ปี จะอยู่ในระดับ 45-60 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วนปีนี้คาดเฉลี่ยอยู่ที่ 40 ดอลลาร์/บาร์เรล

นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ (CEO) บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน)หรือ PTTGC กล่าวถึงราคาน้ำมันดิบที่ขยับใกล้ถึง 50 ดอลลาร์/บาร์เรลว่า ทางบริษัทยังคงมองว่ามีความผันผวน และปีนี้ราคาน้ำมันดิบดูไบจะเฉลี่ย 40 ดอลลาร์/บาร์เรล และ 3-5 ปีข้างหน้าจะอยู่ในเกณฑ์ 45-60 ดอลลาร์/บาร์เรล เป็นผลจากกำลังผลิตน้ำมันใหม่ยังมีเป็นจำนวนมาก รวมไปถึงมาจากแหล่งหินดินดานทั้งเชลล์แก๊สและเชลล์ออยล์ในสหรัฐ และในส่วนของปิโตรเคมีก็คาดว่าจะพ้นจุดต่ำสุดและกำลังจะปรับตัวสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม จากที่พบเชลล์แก๊สในสหรัฐก็ทำให้เกิดการผลิตปิโตรเคมีใหม่และเม็ดพลาสติกในสหรัฐ ที่จะเข้ามาในตลาดเอเชียปี 2561 ประมาณ 4-5 ล้านตัน/ปี เพื่อลดผลกระทบดังกล่าวทางบริษัทจึงขยายการลงทุนในกลุ่มเพื่อนบ้าน CLMV ได้แก่ กัมพูชา ลาว เมียนมาร์ และ เวียดนาม โดยร่วมกับกลุ่มร่วมกับกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมพลาสติกเข้าไปตั้งโรงงานในเพื่อนบ้าน รวมทั้งดูถึงตลาดอาเซียนซึ่งขณะนี้มีความต้องการ 6 ล้านตัน/ปี เติบโตสูงมากถึงร้อยละ 8 ต่อปี

“พีทีทีจีซีศึกษาโอกาสขยายการลงทุนในตลาดอินโดนีเซีย และ กลุ่มประเทศ CLMV โดยเฉพาะเมียนมาร์และเวียดนาม ที่มีอัตราความต้องการใช้พลาสติกค่อนข้างสูง โดย พร้อมให้การสนับสนุนด้านวัตถุดิบ ให้คำปรึกษาและบริการด้านเทคนิค ให้กลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมพลาสติกซึ่งจะทำให้สัดส่วนส่งออกในอาเซียนขยายเพิ่มเป็นร้อยละ 10-15 จากเดิมมีสัดส่วนร้อยละ3-5 และลดการส่งออกไปจีนเดิมมีสัดส่วนร้อยละ15 ซึ่งนับเป็นการรับมือกับเม็ดพลาสติกจากสหรัฐ” นายสุพัฒนพงษ์ กล่าว

ทั้งนี้ PTTGCได้เริ่มโครงการสร้างมูลค่าเพิ่มทางธุรกิจ (Value Creation Project) ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา เป้าหมาย เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มทางธุรกิจ ลดผลกระทบความผันผวน เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ลดค่าใช้จ่าย และเพิ่มรายได้ ซึ่งปีที่แล้วลดรายจ่ายกว่า 600 ล้านบาท ปีนี้คาดจะลดลงอีก 1,000 ล้านบาท และขณะนี้ผู้เชี่ยวชาญอยู่ในระหว่างการศึกษาภาพรวมทั้งหมด จะสรุปใน 6 สัปดาห์นี้ และนำไปสู่แผนปฏิบัติใน 18 เดือนข้างหน้า

สำหรับผลการดำเนินการ ในไตรมาส 1/2559 มีรายได้จากการขาย 80,764 ล้านบาท EBITDA 9,515 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 4,707 ล้านบาท น้อยกว่าไตรมาส 1/2558 เป็นผลจากการปิดซ่อมบำรุงโรงงานโอเลฟินส์ 1 ล้านตัน และราคาน้ำมันที่ต่ำสุดในรอบ 12 ปี ส่วนไตรมาส 2 ทางบริษัทจะมีการปิดซ่อมโรงกลั่นน้ำมัน ในขณะที่กำลังผลิตโครงการใหม่จะเริ่มเข้ามาในครึ่งหลังของปีนี้ ภาพรวมแล้วผลประกอบการน่าจะดีกว่าปีที่แล้ว ในขณะที่ปี2560 คาดว่ารายได้จะขยายตัวร้อยละ 17 จากที่มีกำลังผลิตใหม่ และไม่มีการปิดซ่อมบำรุงใหญ่เหมือนในปีนี้

ทั้งนี้โครงการขยายกำลังผลิต ที่จะเริ่มผลิตในกลางปีนี้ถึงปีหน้า ได้ แก่ โครงการอะโรเมติกส์2 กำลังการผลิตเพิ่ม 170,000 ตันต่อปี ,โครงการ Phenol 2 กำลังการผลิตเพิ่ม 405,000 ตันต่อปี ,โครงการเวนคอเร็กซ์ ประเทศไทย: กำลังการผลิต HDI (Hexamethylene Diisocyanate: เฮกซาเมทิลีน ไดไอโซไซยาเนต) 12,000 ตันต่อปี เป็นวัตถุดิบต้นทางในการผลิตอุปกรณ์รถยนต์ วัสดุก่อสร้าง

นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวว่า โครงการศึกษาลงทุนใหม่ จะเร่งสรุปภายในปีนี้ ทั้งหมด ทั้ง โครงการMap Ta Phut Retrofit: ปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตของโรงงานที่มาบตาพุด สร้างโรงงานแนฟทาแครกเกอร์ ขนาดกำลังการผลิต 5 แสนตัน/ปี, โครงการ PO/Polyols: การลงทุนโพลียูรีเทนครบวงจรและ โครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ในรัฐ โอไฮโอ สหรัฐ กำลังผลิต โอเลฟินส์ 1 ล้านตัน ซึ่งล่าสุดทางรัฐดโอไฮโอจะเข้ามาสนับสนุนดูแลเรื่องปัญหาแรงงานรวมทั้งค่าแรงงานว่าจะไม่กระทบต่อการก่อสร้าง