ตลท.ชี้ดอลลาร์อ่อน หนุนเงินไหลเข้า

ตลท.ชี้ดอลลาร์อ่อน หนุนเงินไหลเข้า

ตลาดหลักทรัพย์ ระบุ นักลงทุนหันสนใจหุ้นขนาดใหญ่ พื้นฐานดี ชี้เงินดอลลาร์สหรัฐอ่อน หนุนเงินทุนต่างชาติไหลเข้า

นายภากร ปีตธวัชชัย รองผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า ตั้งแต่สิ้นปี 58 จนถึงปัจจุบันดัชนีหุ้นไทยให้ผลตอบแทน 9.1% นับเป็นผลตอบแทนสูงสุดเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นในภูมิภาค โดยได้รับอานิสงส์จากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของหุ้นขนาดใหญ่ไม่ว่าจะเป็นหุ้นในกลุ่มพลังงาน ปิโตรเคมี และกลุ่มอาหาร โดยขณะนี้หุ้นขนาดใหญ่ได้กลับมาเป็นที่สนใจลงทุนของนักลงทุน เพราะนักลงทุนเน้นลงทุนหุ้นมีพื้นฐานดี ผลประกอบการดี และจ่ายเงินปันผลอย่างต่อเนื่องจาก ต่างจากปีที่ผ่านมาพบว่าหุ้นขนาดเล็กได้รับความสนใจมากกว่าหุ้นขนาดใหญ่

ส่วนกรณีดอลลาร์สหรัฐปรับตัวอ่อนค่าจะเป็นปัจจัยหนุนให้เงินทุนต่างชาติไหลเข้า เพื่อหวังกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน ควบคู่ไปกับผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดหุ้น ด้วยเหตุนี้เชื่อว่าน่าจะมีกระแสเงินทุนต่างชาติไหลเข้าลงทุนในหุ้นไทยอยู่

"Fundflow จะไหลเข้ามามากน้อยแค่ไหนยังตอบได้ยาก เพราะขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจโลกด้วย ขณะที่ไทยสินค้าโภคภัณฑ์ฟื้นตัวขึ้นก็ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจบ้านเรา แต่อย่างไรก็ตามปีนี้ Fundflow ก็จะยังเป็นบวกอยู่ " นายภากร กล่าว

ทั้งนี้ ประเมินตลาดหุ้นไทยยัง Outperform เมื่อเทียบกับตลาดเพื่อนบ้าน โดยสิ่งที่ต้องจับตามองคือการฟื้นตัวของสินค้าอุปโภค โดยเฉพาะยาง น้ำมัน ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องหรือไม่ ซึ่งหากสินค้ากลุ่มเหล่านี้ปรับตัวดีขึ้น จะส่งผลต่อเศรษฐกิจไทย เนื่องจากประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกสินค้ากลุ่มนี้ โดยกลุ่มบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวข้องกับสินค้ากลุ่มดังกล่าวจะได้รับอานิสงส์ตามไปด้วย

ประกอบกับการลงทุนของภาครัฐจะต้องเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง แต่อย่างไรก็ตามการลงทุนภาครัฐจะต้องเกิดขึ้น และราคาสินค้าโภคภัณฑ์มีการฟื้นตัว ส่งผลให้เงินทุนต่างชาติ (Fundflow) ไหลเข้าต่อเนื่อง แม้ว่าที่ผ่านมาเงินทุนต่างชาติจะมีการไหลออกอย่างรวดเร็วตามการส่งสัญญาณของนโยบายการเงินจากต่างประเทศ

ทั้งนี้ ณ สิ้นเดือนเมษายน 2559 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทย ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องโดยมีระดับปิดสูงสุดในช่วง 4 เดือน อยู่ที่ 1,423.90 จุด ในวันที่ 21 เมษายน 2559 ปัจจัยสนับสนุนจากการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าโภคภัณฑ์โดยเฉพาะราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่เพิ่มขึ้นถึง 37.5% เทียบกับปลายปี 2558 สำหรับ SET Index ณ สิ้นเดือนเมษายน 2559 ปรับลดลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ระดับ 1,404.61 จุด ลดลง 0.2% จากเดือนก่อนหน้า ปัจจัยส่วนหนึ่งจากผลการประชุมของธนาคารกลางยุโรป (ECB) และ ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ในเดือนเมษายนไม่ได้มีมาตรการผ่อนคลายทางการเงินเพิ่มเติมดังที่นักวิเคราะห์ได้คาดการณ์ไว้

ด้านมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวมของ SET และ mai ในเดือนเมษายน 2559 อยู่ที่ 13.7 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.7% จากสิ้นปีก่อน ขณะที่มูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันของ SET และ mai รวมอยู่ที่ 43,707 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.0% จากช่วงเดียวกันปีก่อนหน้า

ขณะที่ Market capitalization ของ SET อยู่ที่ 13,374,797 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.89% จากสิ้นปีก่อน ขณะที่ mai อยู่ที่ 331,509 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.48% จากสิ้นปีก่อน ส่วน Forward P/E ของ SET อยู่ที่ 15.03 เท่า และ mai อยู่ที่ 24.78 เท่า โดยอัตราเงินปันผลตอบแทนของ SET อยู่ที่ 3.35% และ mai อยู่ที่ 1.36% ณ สิ้นเดือนเมษายน 2559

ส่วนผู้ลงทุนต่างประเทศขายสุทธิในเดือนเมษายน อยู่ที่ 5,701 ล้านบาท อย่างไรก็ตามตั้งแต่ต้นปีนี้จนถึงสิ้นเมษายน ผู้ลงทุนต่างประเทศยังคงซื้อสุทธิอยู่ที่ 12,697 ล้านบาท