ทางเลือกการสกัดโรคอ้วน

ทางเลือกการสกัดโรคอ้วน

คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ประสบความสำเร็จลดอุบัติการณ์ผู้ป่วยโรคอ้วนด้วยนวัตกรรมการรักษาสมัยใหม่ด้วยวิธีการผ่าตัด

คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ประสบความสำเร็จลดอุบัติการณ์ผู้ป่วยโรคอ้วนด้วยนวัตกรรมการรักษาสมัยใหม่ด้วยวิธีการผ่าตัด

จากข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติได้รายงานผลการสำรวจเมื่อไม่นานมานี้พบว่าในกลุ่มประชากรอายุ 11 ปีขึ้นไป ซึ่งมีทั้งหมด 55 ล้านคน กำลังประสบปัญหาภาวะโรคอ้วน น้ำหนักเกินมาตรฐานประมาณ 10 ล้านคน ซึ่งติดอันดับ 5 ใน 14 ประเทศแถบเอเชียแปซิฟิก และผลการสำรวจสุขภาพประชาชนไทยพบว่ามีผู้ที่มีภาวะน้ำหนักเกินและอ้วนสูงถึง ร้อยละ 36.5 นอกจากนี้ยังพบว่าความอ้วนมีผลเสียทำให้เกิดโรคเรื้อรังอื่น ๆ ตามมาอีกมากมาย ได้แก่ โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคไขมันในเลือดสูง โรคหลอดเลือดหัวใจและสมอง โรคข้อเข่าเสื่อม ภาวะอุดกั้นทางเดินหายใจขณะหลับ เป็นต้น ซึ่งโรคเรื้อรังเหล่านี้จำเป็นต้องให้การรักษาอย่างต่อเนื่อง เพราะมีผลต่อคุณภาพชีวิตและความสูญเสียทางเศรษฐกิจอย่างมาก ซึ่งคาดการณ์ว่าในปัจจุบันต้นทุนรวมต่อสังคมของภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วนมีมูลค่าสูงกว่า 12,142 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 0.13 ของ GDP โดยแยกเป็นต้นทุนทางตรงจากค่ารักษาพยาบาลมีมูลค่าประมาณ 5,584 ล้านบาท ในขณะที่ต้นทุนทางอ้อมจากการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรและการขาดงานมีมูลค่ารวม 6,358 ล้านบาท

รศ.นพ.สุธรรม ปิ่นเจริญ คณบดีคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ กล่าวในงานอบรมสัมมนา “สุดสัปดาห์สู้ภัยอ้วน ครั้งที่ 1”ว่า ปัญหาอ้วนหรือผู้ที่มีภาวะที่มีไขมันสะสมในร่างกายมากเกินปกติ กำลังเป็นปัญหาทางสังคมไทย และมีโอกาสที่ประเทศไทยจะมีคนอ้วนมากเพิ่มสูงขึ้นเมื่อเทียบเท่ากับน้ำหนักตัว ซึ่งจะเห็นได้ว่า 1 ใน 10 คนของประชากรไทยในขณะนี้ มีน้ำหนักเกินมาตรฐาน โรคอ้วนกลายเป็นสาเหตุของโรคเรื้อรังต่าง ๆ มากมาย แต่เมื่อได้ลดน้ำหนักตัวลงแล้ว โรคต่าง ๆ เหล่านี้จะค่อย ๆ หายไป

โรคอ้วน ไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ โรคนี้สามารถทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจของผู้ป่วย คนอ้วนกลายเป็นคนที่ไม่ต้องการของสังคม บางคนอาจมองว่าความอ้วนนั้น ก่อให้เกิดปัญหาด้านรูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงโรคอ้วนเป็นต้นเหตุของปัญหาสุขภาพมากมาย ไม่ว่าจะเป็นปัญหาด้านกระดูกและข้อ เช่น โรคเก๊าท์ ปวดเข่า ปวดขา หรือปัญหาเกี่ยวกับน้ำตาลและไขมันในเส้นเลือดสูง ซึ่งทำให้ผู้ป่วยมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง หรือ โรคเบาหวาน และในบางรายอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ บางครั้งแพทย์พยายามรักษาโรคเรื้อรังต่าง ๆ รักษาเท่าไหร่ก็ไม่ได้ผล แต่เมื่อเริ่มรักษาโรคอ้วนแทน กลับทำให้โรคเรื้อรังเหล่านั้นจางหายไปไม่กลับมาเป็นซ้ำ เข้าสู่สังคมได้อย่างเป็นปรกติสุข มีหน้าที่การงานและอาชีพที่มั่นคงและได้รับการยอมรับจากสังคม

อ.นพ.กำธร ยลสุริยันวงศ์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ ม หาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ กล่าวว่า โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ (หาดใหญ่)ได้ให้ความสำคัญของการส่งเสริมป้องกันและดูแลรักษาโรคอ้วนอย่างจริงจังและได้จัดตั้งทีมดูแลส่งเสริมป้องกันและรักษาโรคอ้วนขึ้น โดยมีทีมแพทย์ พยาบาลและเจ้าหน้าที่ สหสาขา ช่วยเหลือดูแลอย่างครบวงจรแบบองค์รวม ซึ่งประกอบด้วย ศัลยแพทย์ผ่าตัดโรคอ้วน ศัลยแพทย์ตกแต่ง อายุรแพทย์หน่วยต่อมไร้ท่อและเมตาบอลิซึม วิสัญญีแพทย์ จิตแพทย์ โสตศอนาสิกแพทย์ พยาบาล ทีมงานโภชนาการ ทีมงานสิทธิประโยชน์ผู้ป่วย และทีมงานกายภาพบำบัด ซึ่งปัจจุบันโรงพยาบาลสงขลานครินทร์(หาดใหญ่) ได้รับการยอมรับว่าเป็นสถาบันชั้นนำของประเทศในการรักษาโรคอ้วนอย่างครบวงจร ซึ่งจนถึงปัจจุบันมีผู้มารับคำปรึกษาแล้วมากกว่า 300 รายต่อปี และมีผู้ป่วยเข้ารับการรักษาโดยการผ่าตัดไปแล้วกว่า 100 ราย

ด้านนพ.สิริพงศ์ ชีวธนาภรณ์กุล ภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์กล่าวว่า นิยามของภาวะอ้วนนั้น ในทางการแพทย์ส่วนใหญ่จะมีการแบ่งระยะของความอ้วนในหลายระดับด้วยกัน โดยมักอ้างอิงจากตัวเลขค่าหนึ่งที่เรียกว่า ค่าดัชนีมวลกาย หรือ ค่า Body Mass Index (BMI) โดยคำนวณได้จากสูตรดังนี้
ค่าดัชนีมวลกาย (BMI) = น้ำหนัก (กิโลกรัม; kg) / ส่วนสูง2 (เมตร2; m2)
ส่วนใหญ่แพทย์จะนิยามความอ้วนระดับที่ 1 เมื่อค่าดัชนีมวลกายมากกว่าหรือเท่ากับ 30 สำหรับระดับที่ 2 เมื่อค่าดัชนีมวลกายมากกว่าหรือเท่ากับ 35 และระดับที่ 3 เมื่อค่าดัชนีมวลกายมากกว่าหรือเท่ากับ 40
หากกล่าวถึงระดับความอ้วนที่อาจก่อให้เกิดปัญหาต่อสุขภาพ ก็จะมีผลกระทบตั้งแต่เริ่มมีภาวะน้ำหนักเกินแล้ว โดยหากค่าดัชนีมวลกายมากกว่า 25 ควรปฏิบัติตนโดยการควบคุมอาหารและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะถ้าดัชนีมวลกายมากกว่าหรือเท่ากับ 30 ซึ่งมีความเสี่ยงที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพได้สูง จึงควรปฏิบัติตนอย่างเคร่งครัดและควรเข้ารับการปรึกษาจากแพทย์หรือนักโภชนาการร่วมกัน

ทั้งนี้ในขั้นแรกของการรักษา แพทย์และนักโภชนาการจะพยายามให้คนไข้ลดน้ำหนักด้วยตนเองเป็นลำดับแรก ซึ่งแพทย์จะให้เวลาผู้ป่วยควบคุมน้ำหนักด้วยตนเองอย่างน้อย 6 เดือน และจะไม่แนะนำให้คนไข้หักโหมลดน้ำหนักหรือใช้ยาลดความอ้วนเด็ดขาด แม้จะช่วยลดน้ำหนักได้อย่างรวดเร็ว แต่ก็มิได้เป็นผลดีต่อสุขภาพแต่อย่างใด เนื่องจากน้ำหนักที่ลดลงไปอย่างรวดเร็ว จะเป็นการสูญเสียน้ำมากกว่าการสลายไขมัน ซึ่งจะส่งผลให้สุขภาพของผู้ป่วยแย่ลงไปด้วย และที่สำคัญเมื่อหยุดยา น้ำหนักก็จะกลับเพิ่มขึ้นมาเป็นทวีคูณ การลดน้ำหนักที่ถูกวิธี ต้องลดอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยมีหลักสำคัญอยู่ 2 ประการ คือ “การควบคุมอาหาร” และ “การออกกำลังกายอย่างเหมาะสม” แพทย์จะติดตามผลเป็นระยะเพื่อควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมไม่กลับมาอ้วนอีก

แต่หากผู้ป่วยลดน้ำหนักด้วยวิธีการควบคุมอาหารและออกกำลังกายไม่สำเร็จ จะมีทางเลือกทางอื่น ๆ อาทิ การผ่าตัดในการรักษาโรคอ้วน ซึ่งมีหลักการสำคัญง่าย ๆ คือทำอย่างไรก็ได้เพื่อให้ร่างกายดูดซึมพลังงานจากอาหารได้น้อยลง ให้ร่างกายจำเป็นต้องนำไขมันส่วนเกินออกมาใช้ เพื่อเป็นพลังงานแก่ร่างกายให้เพียงพอ ซึ่งการผ่าตัดนั้น จะสามารถทำได้หลัก ๆ 3 วิธี ได้แก่ 1. การผ่าตัดรัดกระเพาะอาหาร โดยนำห่วงมารัดกระเพาะอาหารส่วนต้นให้อาหารผ่านเข้าสู่กระเพาะได้ช้าลง จะทำให้รู้สึกอิ่มเร็วขึ้น ทานอาหารได้น้อยลง คนไข้จะค่อย ๆ ผอมลง 2. การผ่าตัดลดขนาดกระเพาะอาหาร คือการผ่าตัดลดขนาดกระเพาะให้เหลือเพียงท่อขนาดเล็ก ทำให้คนไข้อิ่มเร็วขึ้น ทั้งยังช่วยลดฮอร์โมนกระตุ้นความหิว และ 3. การบายพาสลัดทางเดินอาหาร หรือการตัดต่อลำไส้ ทำโดยการตัดกระเพาะอาหารส่วนต้นมาต่อเข้าโดยตรงกับลำไส้เล็กเลย ทำให้อาหารลัดผ่านกระเพาะอาหารไปย่อยที่ลำไส้เล็กส่วนล่าง ร่างกายจึงดูดซับพลังงานจากอาหารได้น้อยลง ช่วยให้นำไขมันส่วนเกินออกมาใช้เป็นพลังงานแก่ร่างกายได้เร็วขึ้น

แม้ว่าการผ่าตัดเพื่อรักษาโรคอ้วน จะดูค่อนข้างน่ากลัว แต่การผ่าตัดทั้งหมดสามารถทำได้โดยการส่องกล้อง ไม่จำเป็นต้องเปิดแผลกว้างเหมือนการผ่าตัดทั่วไป และการผ่าตัดดังกล่าวนั้น มีโอกาสที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนและเสียชีวิตน้อยมาก แต่อย่างไรก็ตามการลดความอ้วนด้วยวิธีการธรรมชาติ ยังคงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการลดน้ำหนัก ซึ่งนอกจากจะไม่ต้องกังวลกับภาวะแทรกซ้อนในการผ่าตัดแล้ว การลดน้ำหนักด้วยตนเอง ยังเป็นการเสริมสร้างวินัย และยังช่วยให้สุขภาพกาย สุขภาพจิตแข็งแรงอีกด้วย