มติผู้ตรวจฯส่งฟ้องปม 'ปตท.' คืนท่อก๊าซไม่ครบ

มติผู้ตรวจฯส่งฟ้องปม 'ปตท.' คืนท่อก๊าซไม่ครบ

มติผู้ตรวจฯ ส่งฟ้อง "ปตท." คืนท่อก๊าซไม่ครบ “กรณ์-ปิยะสวัสดิ์-ประเสริฐ” โดนถ้วนหน้า พร้อมจี้คืนเงินแผ่นดินกว่า 5.2 หมื่นล้านบาท

เมื่อเวลา 10.00 ที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน นายศรีราชา วงศารยางกูร ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน แถลงว่า มติผู้ตรวจการแผ่นดินต่อกรณีการไม่คืนท่อก๊าซธรรมชาติของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดและการนำท่อก๊าซซึ่งเป็นทรัพย์สินของแผ่นดินไปแสวงหาประโยชน์ โดยเห็นว่า กระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน และบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ผู้ถูกฟ้องคดีจำนวน 11 ราย ไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 18 ธ.ค. 2550 และไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย จึงขอเสนอเรื่องพร้อมความเห็นในเรื่องดังกล่าวต่อศาลปกครอง เพื่อให้ศาลปกครองพิจารณาวินิจฉัยและมีคำสั่งดังต่อไปนี้ 1.ขอให้เพิกถอนมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 18 ธ.ค. 2550 และวันที่ 10 ส.ค. 2553 ในส่วนที่เกี่ยวกับการส่งมอบทรัพย์สิน ประกอบด้วยที่ดินที่ได้จากการเวนคืน สิทธิการใช้ที่ดินเหนือที่ดินเอกชนและทรัพย์สินที่เป็นระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติ คือ 1.โครงการท่อบางปะกง-วังน้อย 2.โครงการท่อจากชายแดนไทยพม่า-ราชบุรี และ 3.โครงการท่อราชบุรี-วังน้อย รวมถึงโครงการท่อย่อย ซึ่งมีมูลค่าทางบัญชี ณ วันที่ 30 ก.ย. 2544 ประมาณ 16,175 ล้านบาท เนื่องจากมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวเกิดจากการแจ้งข้อมูลอันเป็นเท็จของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานที่มีนายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ ดำรงตำแหน่งขณะนั้น

นายศรีราชา กล่าวต่อว่า 2.ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน และบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ดำเนินการแบ่งแยกทรัพย์สินและโอนทรัพย์สินของการปิโตรเลียมแห่งประเทศให้กระทรวงการคลังตามมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย วันที่ 30 ก.ย. 2544 จำนวน 68,569 ล้านบาท บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ได้คืนไปแล้วประมาณ 16,175 ล้านบาท ดังนั้นบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ยังคงต้องโอนคืนทรัพย์สินให้แก่กระทรวงการคลังอีกจำนวนประมาณไม่น้อยกว่า 52,393 ล้านบาท รวมทั้งค่าตอบแทนและผลประโยชน์อื่นใดจากการใช้ทรัพย์สินของการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ได้แก่ ที่ดิน อาคาร เครื่องจักร อุปกรณ์และทรัพย์สินอื่นและสิทธิหรือสินทรัพย์ที่ไม่มีตัวตนที่บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ได้อาศัยใช้ประโยชน์ในการประกอบกิจการ พร้อมดอกเบี้ยตามกฎหมายกำหนดให้ครบถ้วนต่อไป และ 3.เพิกถอนการแบ่งแยกทรัพย์สินในส่วนที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน สิทธิการใช้ที่ดิน เพื่อวางระบบการขนส่งปิโตรเลียมทางท่อ รวมทั้งแยกอำนาจและสิทธิในส่วนที่เป็นอำนาจมหาชนของรัฐออกจากอำนาจและสิทธิของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ที่ได้ดำเนินการไปแล้ว เพื่อให้เป็นไปตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏ

นายศรีราชา กล่าวต่อว่า การตรวจสอบกรณีดังกล่าวสืบเนื่องจากศาลปกครองสูงสุดได้มีคำพิพากษาในคดีหมายเลขแดงที่ ฟ.35/2550 เมื่อวันที่ 14 ธ.ค. 2550 ให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่ คือ คณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ได้ร่วมกันกระทำการแบ่งแยกทรัพย์สินในส่วนที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน สิทธิการใช้ที่ดินเพื่อวางระบบการขนส่งปิโตรเลียมทางท่อ รวมทั้งแยกอำนาจและสิทธิในส่วนที่เป็นอำนาจมหาชนของรัฐออกจากอำนาจและสิทธิของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ต่อมา เมื่อวันที่ 18 ธ.ค. 2550 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบหลักการตามความเห็นของกระทรวงพลังงาน โดยรมว.พลังงาน ที่มีนายปิยสวัสดิ์ ดำรงตำแหน่งในขณะนั้น เกี่ยวกับการแบ่งแยกทรัพย์สินอำนาจและสิทธิของการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยที่จะให้เป็นของกระทรวงการคลังตามคำพิพากษา โดยคณะรัฐมนตรีได้มอบหมายให้กระทรวงพลังงานและกระทรวงการคลังรับไปดำเนินการแบ่งแยกทรัพย์สินและสิทธิตามหลักการดังกล่าว แล้วให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเป็นผู้ตรวจสอบและรับรองความถูกต้อง ทั้งนี้ หากมีข้อโต้แย้งทางด้านกฎหมายเกี่ยวกับการตีความคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดในการดำเนินการแบ่งแยกทรัพย์สิน ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเป็นผู้พิจารณาเพื่อให้มีข้อยุติต่อไป

“การดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว กระทรวงพลังงาน กระทรวงการคลัง และบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ได้ร่วมกันเสนอข้อมูลอันเป็นเท็จ ปกปิดข้อเท็จจริงเกี่ยวกับระบบการขนส่งปิโตรเลียมทางท่อในทะเลและบนบกที่เป็นทรัพย์สินของการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยซึ่งยังไม่ได้แบ่งแยกให้กระทรวงการคลัง รวมทั้งระบบท่อที่ได้ก่อสร้างในที่ดินของรัฐภายหลังการแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชน โดยไม่มีผลตอบแทนคืนให้แก่บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ได้รายงานผลการดำเนินการตามคำพิพากษาอันเป็นเท็จดังกล่าวนี้ต่อศาลปกครองสูงสุด เมื่อวันที่ 25 ธ.ค. 2551 โดยรายงานว่าผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่ได้ร่วมกันกระทำการแบ่งแยกทรัพย์สินในส่วนที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน สิทธิในการใช้ที่ดินเพื่อวางระบบการขนส่งปิโตรเลียมทางท่อ” นายศรีราชา กล่าว

นายศรีราชา กล่าวด้วยว่า รวมทั้งแยกอำนาจและสิทธิในส่วนที่เป็นอำนาจมหาชนของรัฐออกจากอำนาจและสิทธิของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ให้เป็นไปตามคำวินิจฉัยและคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดครบถ้วนแล้วจึงเห็นได้ว่าหน่วยงานดังกล่าวไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ปฏิบัตินอกเหนืออำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย ปฏิบัติหรือละเลยไม่ปฏิบัติหน้าที่ที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐและประชาชนโดยไม่เป็นธรรมและมิได้รักษาผลประโยชน์ของชาติตามหน้าที่ของข้าราชการที่ต้องพึงปฏิบัติ มีการดำเนินการที่ไม่เป็นไปตามขั้นตอนและลัดขั้นตอนอันเป็นสาระสำคัญในการแบ่งแยกทรัพย์สิน ปล่อยปละละเลยมิได้เร่งรัด ติดตาม ทวงคืนทรัพย์สินของการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยจนกระทั่งมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคยื่นคำฟ้องต่อศาลปกครอง ซึ่งที่ผ่านมา เราใช้เวลากว่า 3 ปี ในการตรวจสอบจึงได้ข้อมูลที่เป็นเอกสารหลักฐานกว่า 96 รายการ รวมทั้งข้อมูลที่ได้จากสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) ที่พบว่ามีท่อก๊าซอีกกว่า 50 รายการที่ยังไม่ได้เปิดเผย ซึ่งเชื่อว่าเป็นหลักฐานที่มีความแน่นพอในการยื่นฟ้องครั้งนี้ เพราะมีเอกสารประกอบคำฟ้องกว่า 500 หน้า

นายศรีราชา กล่าวว่า สำหรับผู้ถูกฟ้องคดีมีจำนวน 11 ราย ได้แก่ กระทรวงการคลัง นายฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ อดีตรมว.คลัง นายกรณ์ จาติกวณิช อดีตรมว.คลัง ร.ต.หญิงระนองรัตน์ สุวรรณฉวี อดีตรมช.คลัง กระทรวงพลังงาน นายปิยะสวัสดิ์ อัมมะระนันท์ อดีตรมว.พลังงาน นพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล อดีตรมว.พลังงาน นายประสิทธิ์ สืบชนะ อดีตรองอธิบดี กรมธนารักษ์ นายอำนวย ปรีมนวงศ์ อดีตที่ปรึกษาด้านพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ กรมธนารักษ์ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และนายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัทปตท.ฯ อย่างไรก็ตาม การตรวจสอบบริษัทปตท. ในครั้งนี้ ยังทำให้เชื่อมโยงพบเรื่องการจัดเก็บภาษีเข้ากองทุนน้ำมันไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งผู้ตรวจฯได้มีการโต้แย้งไปแล้วก่อนหน้านี้ เพราะเห็นการจัดเก็บภาษีต้องผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา ไม่สามารถทำได้โดยคำสั่งฝ่ายบริหาร อีกทั้งขณะนี้ยังมีคำร้องเกี่ยวกับปตท.อีก 2-3 เรื่อง เช่น การสร้างแทงค์เก็บน้ำมันขนาดใหญ่ที่มีราคาสูงเกินความจำเป็น

“ที่ผ่านมาปตท.ใช้สิทธิแสวงหาประโยชน์จากประชาชนเกินกว่าที่ประชาชนจะแบกรับ พอผู้ตรวจฯมีการตรวจสอบเรื่องกองทุนน้ำมันก็จะเห็นได้ว่าน้ำมันมีราคาถูกลง แต่ทั้งนี้ปตท.ยังเป็นองค์กรที่ลึกลับ เชื่อว่ายังมีปัญหาเรื่องผลประโยชน์อีกเยอะ การที่กรรมการของปตท. และตัวแทนจากรัฐทั้งกระทรวงการคลังและพลังงาน เข้ามานั่งเป็นกรรมการ ก็มีผลประโยชน์ เพียงแค่ปี 2557 แค่เบี้ยประชุมก็ 2 ล้านบาทต่อปี บวกกับเงินปันผลอีก 2.7 ล้านบาทต่อปี รวมแล้วกรรมการแต่ละคนจะได้ไม่ต่ำกว่า 4.7 ล้านบาทต่อปี จึงทำให้ไม่อยากทุบกระเป๋าตัวเอง นอกจากนี้เมื่อผู้ตรวจได้เริ่มตรวจสอบเรื่องดังกล่าว ก็มีอดีตประธานปตท.เขียนจดหมายส่วนตัวมาถึงตนระบุว่าปตท.ได้ทำทุกอย่างถูกต้องแล้ว อย่ามาหาเรื่องและให้ยุติเรื่องดังกล่าว ซึ่งผมก็เก็บจดหมายใส่ลิ้นชักแล้วเดินหน้าต่อไป จนมาถึงการฟ้องร้องในครั้งนี้” นายศรีราชา กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายศรีราชามีความตั้งใจจะตรวจสอบเรื่องปตท.ให้แล้วเสร็จก่อนที่จะหมดวาระการดำรงตำแหน่งผู้ตรวจการแผ่นดินในวันนี้ (4 เม.ย.) จึงทำให้มีการแถลงข่าวและส่งคำร้องไปยังศาลปกครองในวันดังกล่าวด้วย อย่างไรก็ตาม นายศรีราชา ยังระบุอีกว่า ผู้ตรวจการแผ่นดิน ยังมีเรื่องร้องเรียนสนามบินสุวรรณภูมิ บริษัท คิงส์พาวเวอร์ และการคิดค่าเก็บเอฟพีของการไฟฟ้า ที่ยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบที่ต้องดำเนินให้แล้วเสร็จ