กินเพื่อสุขภาพกับ นิดดา หงษ์วิวัฒน์

 กินเพื่อสุขภาพกับ นิดดา หงษ์วิวัฒน์

ป้านิด เล่าถึงการเปิดร้าน Sangdad Health Mart สินค้าภายในร้าน และแนะวิธีการทำ 'ไข่ออนเซน' เพื่อรักษาสารอาหารของไข่ไก่ให้อยู่ครบ

ลูกเดือย คือยาอายุวัฒนะของยาจีนทั้งหมด, ถั่วลูกไก่ มีชื่อเรียกอีกอย่างว่า ‘สเต๊ก บีน’ เพราะมีคุณค่าโปรตีนเทียบเท่าเนื้อสัตว์, เห็ดหูหนู เป็นตัวละลายลิ่มเลือดที่ดีมาก วิธีต้มไข่ออนเซนเพื่อคงคุณค่าสารอาหารในไข่ไก่ น้ำซุปแมกนีเซียมที่ใช้ทำเมนูก๋วยจั๊บ ฯลฯ

ข้อความข้างต้นคือส่วนหนึ่งที่ได้จากการสนทนากับ นิดดา หงษ์วิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการบริษัทสำนักพิมพ์แสงแดด และผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพและการกินอาหาร ซึ่งนำประสบการณ์และการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองทั้งชีวิต ถ่ายทอดเป็นรูปธรรมด้วยการเปิดร้านจำหน่ายสินค้าออร์แกนิคและผลิตภัณฑ์สุขภาพภายใต้ชื่อ Sangdad Health Mart (แสงแดด เฮลท์ มาร์ท) สาขาเลียบทางด่วนเอกมัย-รามอินทรา เป็นสาขาที่สอง สมบูรณ์เพียบพร้อมกว่าสาขาแรกที่ทาวน์ อิน ทาวน์ ซึ่ง ป้านิด คำเรียกชื่อคุณนิดดา หงษ์วิวัฒน์ ซึ่งคนรักสุขภาพที่รู้จักเธอพร้อมใจกันเรียกหาด้วยความสนิทใจ ไม่ได้เปิดร้านสาขาที่สองนี้เพื่อเหตุผลทางธุรกิจเท่านั้น

“อายุป้าย่างเข้าขนาดนี้แล้ว ป้าอยากทำอาชีพสุดท้ายที่ดีทั้งกับผู้ซื้อและผู้ขาย” นิดดา หงษ์วิวัฒน์ ซึ่งปีนี้อายุย่าง 67 ปี กล่าวถึงแรงบันดาลใจแรกในการตัดสินใจเปิดร้าน ‘แสงแดด เฮลท์ มาร์ท’ สาขาเลียบทางด่วนเอกมัย-รามอินทรา

แรงบันดาลใจที่สองคือคำประกาศของ องค์การอนามัยโลก (World Health Organization-WHO)

"who ประกาศว่า ในโลกนี้คนตายด้วยโรคที่ไม่มีเชื้อโรค -เช่น โรคหัวใจ โรคปอด โรคตับ โรคไต ซึ่งก็คือโรคจากพฤติกรรม- มากถึงปีละ 50 ล้านคน แค่เพียงให้ผู้คนได้รู้ได้เข้าใจ จะลดการตายได้มากกว่า 50%... ป้ามีความรู้สึกขอเป็นจุดเล็กๆ ของการให้ความรู้ แต่คนเรารู้เพื่อที่จะลืมด้วยกันทั้งนั้น แต่ทำเพื่อที่จะจำ ป้าเลยต้องเปิดร้านอาหารตรงนี้ขึ้นมาเพื่อให้เห็นว่าอาหารสุขภาพดี-อร่อยได้ ความอร่อยบำรุงใจ อาหารสุขภาพบำรุงกาย จะบอกว่ากินไปเถอะดีต่อร่างกาย แต่ไม่อร่อย...ไม่ได้ จิตเราเสีย ร่างกายจะหลั่งน้ำตาล ก็เลยเปิดร้านอาหารด้วย ขายของพวกนี้ด้วย" ป้านิดหมายถึง ร้านดีจริง พื้นที่ขายอาหารมังสวิรัติที่ตั้งอยู่ภายในร้าน ‘แสงแดด เฮลท์ มาร์ท’

สินค้าที่มีวางจำหน่ายภายในร้าน แยกประเภทเป็นของสดสำหรับทำกับข้าว เช่น ผักสด ไข่ไก่, ซอสปรุงรสและเครื่องเทศ ธัญพืช ข้าวสาร น้ำดื่ม สินค้าอุปโภคบางอย่าง ขนมและอาหารที่ทำจำหน่ายเอง ซึ่งป้านิดยอมรับว่า การเลือกสินค้าเข้าร้านไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากการวางบรรทัดฐานสินค้าของเธอเอง คือเป็นสินค้าเกษตรอินทรีย์(organic) ปลอดสารเคมี(Chemical-free) และ ดีต่อสุขภาพ

"เพราะป้ามีมาตรฐานสินค้าใดที่จะเข้าที่นี่ได้บ้าง เช่น ต้องเป็น สินค้าเกษตรอินทรีย์ คือฝากฟ้าฝากดิน ไม่ใช้สารเคมี ต้องไม่มีสารเคมีปนเปื้อน จึงเป็นสินค้าที่มาจากครัวเรือนมากกว่าโรงงานอุตสาหกรรม บังเอิญป้าไปได้ที่สหกรณ์ชุมนุมเกษตรอินทรีย์ เป็นโครงการในพระราชดำริที่วังน้ำเขียว (นครราชสีมา) และเป็นผู้ปฎิบัติธรรม เขารวบรวมได้ร้อยกว่าครัวเรือนที่ร่วมกันปลูกพืชแบบเกษตรอินทรีย์ทั้งหมด ป้าไปอยู่ไปกินไปนอนกับเขา เห็นความเป็นอยู่ที่ดี เขาสามารถเด็ด(ผัก)กินได้เลย ไม่ต้องเผชิญกับยาทั้งหลาย ไม่เจ็บป่วย และฐานะเขาดีขึ้นๆ และเขาก็อยากสร้างเครือข่ายให้เห็นว่า เกษตรอินทรีย์ใช้ความอดทนอีกนิดเดียว แค่ข้ามฟากให้ดินฟื้นตัวได้จากที่เคยใช้ปุ๋ยสารเคมีจนดินพัง เขาจะต้องปลูกปอเทืองเป็นถั่วแอฟริกา ให้ไนโตรเจนกับพื้นดินเยอะมากด้วยการไถกลบ แต่ใช้เวลาข้ามปีที่คุณจะยังไม่มีผลผลิต ตรงนี้ที่โน้มน้าวคนได้ยาก เพราะความอดทนในการก้าวข้าม ซึ่งเขาใช้วิธีโอบอุ้มกัน ช่วงที่รอผืนดินตรงนี้ ก็มาเป็นเกษตรกรอีกที่เพื่อไม่ให้ขาดรายได้ พอข้ามปีก็มีผลผลิตมาเข้าสหกรณ์ เขาสามารถดึงครอบครัวขึ้นมาได้ทีละสิบครอบครัว จนกระทั่งตอนนี้ร้อยกว่าครอบครัว รวมพื้นที่ทำเกษตรอินทรีย์กันได้กว่าสามร้อยไร่" ป้านิดเล่าถึงพืชผักเกษตรอินทรีย์ที่มีจำหน่ายในร้าน

เครื่องปรุงรสที่นี่มีแค่ ดอกเกลือ กับ ซีอิ๊วที่หมักสามปีครึ่งในมาตรฐานของแม็คโครไบโอติกส์ (Macrobiotics) ระยะเวลาสามปีครึ่งเป็นเวลาที่บ่มสารอาหารทุกตัวออกมาได้

กล่าวได้ว่าเครื่องปรุงรสทุกชนิดจากโรงงานอุตสาหกรรม 'ไม่มี' จำหน่ายภายในร้าน

ข้าวสารเป็น ข้าวสารปลอดสารพิษ ส่วนหนึ่งมาจากจังหวัดอุบลราชธานี มีทั้งข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ ข้าวสาร ส่วนใหญ่ป้านิดสั่งมาใช้เอง เพราะด้วยความที่ข้าวสะอาดมาก มอดกินเร็วมาก วางขายนานไม่ได้ เนื่องจากชาวบ้านยังไม่มีเครื่องมือบรรจุแบบสุญญากาศ ข้าวสารส่วนนี้จึงมักนำมาหุงเพื่อใช้ในร้านอาหาร ‘ดีจริง’ ข้าวสะอาดมาก ยิ่งเคี้ยวยิ่งหวาน เป็นกลุ่มเกษตรอินทรีย์ของ 'สันติอโศก' ซึ่งรวบรวมชาวบ้านขึ้นมาและผลักดันให้ทำเกษตรอินทรีย์โดยการช่วยเหลือปุ๋ยธรรมชาติทั้งหมด

ป้านิดเล่าต่อไปว่า จุดยืนหนึ่งในการทำอาหารคือ เครื่องปรุงต้องเป็นเกษตรอินทรีย์ และ ลดความหวาน-มัน-เค็ม

"ขนมของป้า...หวานด้วยน้ำมะพร้าว 80% มีน้ำตาลทรายเข้ามานิดเดียวเพื่อดึงรสให้แหลมขึ้นเท่านั้น ป้าเลือกวัตถุดิบตั้งแต่ต้นทาง เช่น ลูกเดือย เพราะลูกเดือยคือยาอายุวัฒนะของยาจีนทั้งหมด ใช้ กล้วยน้ำว้า ที่ยังไม่สุก เพราะมีสารแทนนินช่วยฝาดสมานท้อง ช่วยเรื่องโรคกระเพาะอาหาร ป้าทำ ‘เต้าส่วน’ เพราะ ถั่วเขียวกระเทาะเปลือก ที่ใช้ คือพื้นฐานของโปรตีนที่มีฤทธิ์เย็น ทำให้ร่างกายเบา ใช้ ชิกพี (chickpea) หรือ ‘ถั่วลูกไก่’ ถั่วชนิดนี้ที่เป็นฐานโปรตีนของคนอินเดียที่กินมังสวิรัติ ด้วยความที่ค้นพบว่าโปรตีนสูง จึงเรียกถั่วชนิดนี้ว่า สเต๊ก บีน (steak bean) คือมีคุณค่าโปรตีนเทียบเท่าสเต๊กจากเนื้อสัตว์" 


สินค้าที่ขายดีมากตอนนี้ยกตำแหน่งให้ ไข่ออนเซน ทั้งรสชาติดีและได้สุขภาพ แค่เพียงคล้อยบ่ายนิดๆ ในแต่ละวันก็มักจะถูกเหมาไปหมดเสมอ คุณนิดดาเล่าเหตุแห่งความเป็นที่นิยมให้ฟังว่า

"ไข่ออนเซนของเราทำจากไข่ของแม่ไก่อารมณ์ดี ไก่ย่ำดิน และเลี้ยงด้วยสารธรรมชาติอินทรีย์ทั้งหมด เช่นข้าวโพดที่ปลอดสารเร่งฮอร์โมน เพราะฉะนั้นไข่ไก่จะเล็ก แต่ไข่จะหอมและเป็นไข่ใหม่ มาทำออนเซนคือต้มในน้ำแร่...


ป้าทำน้ำแร่จากเกลือภูเขาไฟเนปาล(หินสีดำ เพราะเป็นเกลือผสมลาวา) นำมาบ่มในน้ำให้สารออก(แช่เกลือภูเขาไฟในน้ำ ทิ้งไว้หลายวัน คอยกวนให้แร่ธาตุออกมาเรื่อยๆ แช่โดยไม่ต้องผ่านความร้อน) แล้วจึงนำน้ำนี้ไปต้มไข่ โดยใช้ไฟที่ทำให้น้ำมีความร้อน 75 องศาเซลเซียส ใช้เวลาต้ม 20-30 นาที ใส่่ไข่ลงในน้ำตั้งแต่น้ำยังไม่เดือด พอน้ำร้อน 75 องศาเซลเซียส ก็เริ่มจับเวลา พอครบ 20 นาที ก็ลองเคาะดูฟองหนึ่ง ถ้าต้องการให้สุกมากขึ้น ก็ต้มต่อจนครบ 30 นาที...

ไข่ขาวของไข่ออนเซนมีลักษณะเป็นวุ้น ไข่แดงเป็นยางมะตูม ไม่ใช่แบบเคาะออกมาแล้วเหลว แต่เป็นเหมือนยางมะตูมที่เกาะกันแน่น อร่อยมาก เป็นจังหวะที่ไข่อร่อยที่สุด สารในน้ำแร่จะซึมผ่านรูพรุนเปลือกไข่ ทำให้ไข่หอมขึ้น และยังช่วยรักษาสารอาหารไว้ทั้งหมด เพิ่มพวกกรดอะมิโนซึ่งไข่ไก่มีสูงอยู่แล้ว เป็นตัวที่บำรุงตับ ไต และสร้างเม็ดเลือด สร้างสมอง เด็กเล็กๆ ของญี่ปุ่น จะกินไข่ใหม่วันละ 2 ฟองต่อครั้ง และนิยมทำไข่ออนเซน เพราะรักษาสารอาหารของไข่ไก่ไว้ครบหมด...


ป้าศึกษาไข่ออนเซนและจัดระเบียบทำกินที่บ้านมา 6-7 ปีแล้ว ถ้าไม่มีน้ำแร่ ให้ใช้น้ำที่ละลายกับเกลือทะเล (เอาน้ำมาจำนวนหนึ่ง ใส่ ‘เกลือทะเล’ ลงไปจนเกลือหยุดละลาย) น้ำเกลือ 1 ส่วน ผสมกับน้ำปล่า 2 ส่วน ใช้ต้มไข่ ที่สำคัญต้องใช้ ‘เกลือทะเล’ ไม่ใช่เกลือจากโรงงานอุตสาหกรรม....


ป้าสอนทุกคน ไปทำเถอะ ไม่ยาก ทำแล้วอร่อยจะติดใจ ไข่ต้มที่ทำกันทั่วไป การที่เนื้อไข่ขาวแข็ง เพราะเกิดการเปลี่ยนเชิงไบโอเคมิคัล เซลล์ของไข่ไก่ก็เปลี่ยนด้วย แต่ไข่ออนเซนสุกโดยไม่มีการเปลี่ยนเซลล์"

เรื่อง ไข่เก่า-ไข่ใหม่ ก็มีผลกับรสชาติและสารอาหารเช่นกัน

คุณนิดดาพูดถึงการทดสอบ ความสดของไข่ไก่ ให้ฟังว่า ให้แช่ไข่ไก่ลงในน้ำ ไข่ยิ่งใหม่จะนอนขนานกับก้นภาชนะ ถ้าเป็น ‘ไข่เก่า’ หรือไข่ที่เก็บมาหลายวันแล้ว ไข่จะเริ่มดีดตัวขึ้นจากก้นภาชนะ เพราะอากาศซึมเข้าไปในไข่จากเปลือกที่มีรูพรุน ไข่เก่าก็ทำ ‘ไข่ออนเซน’ ได้ แต่จะไม่อร่อย และไข่ยิ่งเก่ายิ่งมีกลิ่นคาว


“มีฟาร์มที่ขายไข่ใหม่ให้คนญี่ปุ่นโดยเฉพาะ ไข่อายุ 1 วันขายฟองละ 28 บาท ไข่อายุ 5 วัน ลดลงเหลือ 25 บาท จนอายุหนึ่งก็ขายให้คนไทยกินเป็นไข่โหล”

คุณนิดดากล่าวด้วยว่า เธอเป็นมังสวิรัติ แต่ก็ส่งเสริมให้กินไข่ เพราะเป็นสารอาหารโปรตีนที่มาจากเนื้อสัตว์ที่ให้คุณค่ากับร่างกายสูงมากๆ พร้อมกับให้ข้อมูลอีกด้านของ ไข่ไก่ กับความเชื่อเรื่อง คอเลสเตอรอล ไว้ว่า

"ร่างกายเราต้องการคอเลสเตอรอลเพื่อสร้างฮอร์โมน แต่เราไปกินคอเลสเตอรอลท่วมท้นจากตัวอื่นที่เป็นปัญหา ตับเราต้องสร้างคอเลสเตอรอล ถ้าไม่สร้าง เราไม่มีชีวิตอยู่ได้นะ เพราะคอเลสเตอรอลเป็นส่วนประกอบของเซลล์ทุกตัว เป็นตัวประกอบของสมอง ที่สำคัญเป็นตัวสร้างฮอร์โมนทุกชนิดของร่างกาย ตับสร้างคอเลสเตอรอล 80% ที่ใช้ในร่างกาย แค่เพียง 20% ที่มาจากอาหาร ไตรกลีเซอไรด์ป้าเคยสามร้อยกว่า(มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร) ขณะที่เขากำหนดให้อยู่ที่ 150, คอเลสเตอรอลทะลุ 280 (มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร) แต่เราก็ยังรู้สึกปกติสุขดี ก็ต้องถามพฤติกรรมของเราแล้ว ไม่ออกกำลังกาย นั่งอยู่กับที่ แก้ไขโดยออกกำลังกาย เล่นโยคะ ทำแล้วมันก็ลง อย่าไปกินยา พระพุทธเจ้าสอนให้แก้ที่เหตุ กินยาปุ๊บมันเก็บคอเลสเตอรอลออกจากเลือดจริง แต่ส่งไปที่ตับ กิน(ยา)ไปกินมาเป็นไขมันพอกตับ เพราะไขมันต้องกำจัดผ่านตับโดยส่งไปให้ท่อน้ำดี เหตุแห่งโรคอยู่ที่ปากเรา แล้วปากเราไม่แก้ไข ตับจะทำงานไหวไหม"

คุณนิดดาเล่าว่า เริ่มกินอาหารมังสวิรัติตั้งแต่ปีพ.ศ.2549 เนื่องจากเกิดอาการผิดปกติขึ้นที่อวัยวะ ‘หัวใจ’ ของตัวเองเมื่อปีพ.ศ.2545

"เมื่อก่อนป้าก็ทำงานบ้าเลือด นอนดึก ตื่นสาย กินไม่เป็นเวลา กินของข้างทาง ไม่ใส่ใจชีวิต ไม่ออกกำลังกาย ไม่ออกแดด อยู่แต่ในแสงไฟฟ้า ถึงจุดหนึ่งเกิดอาการไฟฟ้าช็อตที่หัวใจ หมดแรงไปดื้อๆ ทำอะไรไม่ได้ หัวใจเต้นตึ้กๆๆ นั่งทำงานอยู่ ต้องบอกให้คนกางเตียงเพื่อลงไปนอนสักพัก ก็จะหาย แต่เป็นถี่เข้า ชั่วโมงหนึ่งเป็นหลายครั้ง ในที่สุดก็ไปโรงพยาบาล หมอบอกว่าต้องกินยาตลอดชีวิต ต้องผ่าตัดใส่แบตเตอรี่ที่หัวใจเพื่อควบคุมไฟฟ้า...


ป้าก็นั่งพิจารณาตัวเอง เพราะป้าก็ศึกษาศาสนาพุทธ พระพุทธองค์บอกว่าเหตุเกิดที่ไหนต้องแก้ที่เหตุ หมอให้ป้าเลือก ป้าก็พิจารณาตัวเอง คราวนี้ไม่โลภมากแล้ว โลภแต่พอเพียง ทำได้ก็ทำ ทำไม่ได้ก็ช่างมัน นั่งทำงาน เงินอยู่ธนาคารหมด ใครใช้ ธนาคารใช้ ใครป่วย เราป่วย ธนาคารไม่ได้ป่วย...


ป้าก็เลยหยุด หันมาออกกำลังกายและตากแดดศึกษา ไม่ใช่แค่นั้น ป้าศึกษาเรื่องภาวะหัวใจด้วย ส่วนหนึ่งที่เราเกิดอาการผิดปกติที่หัวใจ เพราะร่างกายไม่สมดุลเรื่องเกลือแร่ จากการที่เรากินแต่อาหารขยะ...


อาหารที่มีเกลือแร่คือผักผลไม้ เพราะเกลือแร่มาจากดิน เกลือแร่ใช้ปรับค่าพีเอชในเลือด เพราะเป็นสารอิเล็กโทรไลต์ ใช้ขับเคลื่อนการทำงานของอวัยวะ สารที่ก่อให้เกิดประจุไฟฟ้า พอเราขาด ก็เหนื่อย อวัยวะต่างๆ ทำงานได้ไม่ดี หัวใจทำงานหนัก ผลิตไฟฟ้าไม่ทัน ปีกใต้สมองก็ผลิตประจุไฟฟ้า พอเราไปตากแดด แสงแดดช่วยให้การทำงานดี ในแสงแดดมีประจุไฟฟ้าครบทั้งหมด ช่วยให้ร่างกายปรับสมดุล ต้านอนุมูลอิสระด้วย"

คุณนิดดาเล่าว่า เธอรักษาอาการผิดปกติที่หัวใจด้วยการนั่งสมาธิกลางแสงแดด ครั้งละ 30 นาที/วัน นั่งสมาธิแบบไม่หลับตา เพื่อให้ดวงตาได้รับแสงแดด สวมเสื้อผ้าสีอ่อนเพื่อรับรังสีในแสงแดด เสื้อผ้าสีเข้มจะดูดความร้อนแต่สะท้อนรังสีออกไป โดยแสงแดดจะใช้คอเลสเตอรอลใต้ผิวหนังของเราในการเปลี่ยนรังสีตัวนี้ให้เป็นวิตามินดี และดื่มน้ำ (ดื่มน้ำน้อยทำให้เลือดข้น) หกเดือนต่อมาอาการผิดปกติที่เกิดกับหัวใจหายสนิท

"ตอนนั้นป้าคิดว่านั่งตอนเช้าคือประมาณเจ็ดโมงจะดีต่อการรักษา แต่ตอนนี้ที่ป้าศึกษาทะลุแล้ว ปรากฎว่าแสงแดดที่ดีมาก คือแสงแดดระหว่างเก้าโมงเช้าถึงบ่ายสามโมง who ประกาศออกมาเลย เพราะว่าเป็นรังสีคนละตัว ตอนเช้าเป็นรังสีสีแดงเป็นรังสีที่ขยายเส้นเลือด เป็นแสงที่ผ่อนคลาย ช่วยให้ร่างกายหลั่งสารเซโรโทนิน (serotonin) แต่รังสีตอนเก้าโมงเช้าเป็นยูวีบี(แสงเหนือม่วง) เป็นรังสีรักษาโรค ป้าก็เลยเขียนหนังสือเรื่องแสงแดดออกมา"

นอกจากคัดสรรสินค้าที่นำมาจำหน่ายภายในร้านอย่างมีมาตรฐาน ป้านิดยังใช้ความรู้สุขภาพมาจัดทำ อาหาร-ขนม ของร้านอาหาร ‘ดีจริง’ เช่น เมนู วุ้นเส้นผัดไทย (75 บาท) สาเหตุที่ใช้ วุ้นเส้น เพราะป้านิดบอกว่ายังหา 'เส้นผัดไทย' ที่ไม่มีสารกันบูดยังไม่ได้ ขณะที่ 'วุ้นเส้น' เป็นแป้งที่ให้น้ำตาลน้อย เพราะทำจาก ถั่วเขียว เป็นสารอาหารที่ไม่ให้น้ำตาลและไม่ทำให้อ้วน ผัดรวมกับถั่วงอก เต้าหู้ ฟองเต้าหู้ น้ำตาลอ้อยหรือน้ำตาลมะพร้าว

“ถั่วงอกป้าก็เพาะเอง” ป้านิดเล่าถึง ถั่วงอก ที่ใส่ใน ‘วุ้นเส้นผัดไทย’ เพราะต้องการเลี่ยงถั่วงอกที่แช่สารฟอร์มาลีน (Formalin)ที่ทำให้ถั่วงอกกรอบ-ตึงตัวสวยงาม

เรื่องการเพาะถั่วงอกก็มีเคล็ดลับเหมือนกัน ป้านิดเล่าว่า ตอนเปิดร้านใหม่ๆ เมนู ‘วุ้นเส้นผัดไทย’ ขายไม่ได้เลย เพราะถั่วงอกเหม็นเขียว ป้านิดเพิ่งมาทราบเคล็ดลับภายหลังว่าถั่วงอกถูกแสงแดดไม่ได้ เพราะมันจะสังเคราะห์แสงทันที

เมนู ก๋วยจั๊บ(75 บาท) เลือกใช้ 'เส้นก๋วยจั๊บ' ทำส่งประเทศญี่ปุ่น รับประกันมาตรฐานปลอดสารเคมี, ไข่เป็ดไล่ทุ่ง(เกษตรอินทรีย์) น้ำซุปแมกนีเซียม คือเป็นน้ำซุปที่ต้มจากผักทุกชนิดที่ให้สารแมกนีเซียม เช่น กะหล่ำปลี ซึ่งหายากมากที่เป็นออร์แกนิค แต่ก็ได้มาจากไร่ชุมชนฯ วังน้ำเขียว มะเขือเทศ มันฝรั่ง หอมใหญ่ ค่อยๆ ต้มช้าๆ น้ำซุปจะหวานโดยไม่ต้องใส่น้ำตาล แมกนีเซียมเป็นโคแฟคเตอร์ของเอนไซม์กว่า 300 ชนิด และเป็นตัวที่อยู่ในกระดูกมากถึง 65% เพราะช่วยแคลเซียมสร้างกระดูก กับมีส่วนผสมสำคัญที่ป้านิดออกปากว่า “รักมาก” คือ ฟองเต้าหู้

“ฟองเต้าหู้คือแผ่นฟิล์มที่ลอยอยู่บนผิวหน้าของการต้มน้ำเต้าหู้ แผ่นฟิล์มนี้จะดูดสารอาหารทุกชนิดเข้าหาตัว ฟองเต้าหู้มีสารอาหารมากกว่าเต้าหู้ 400 เท่า ฟองเต้าหู้สดหากินยากมาก แต่ป้าสั่งมาขาย ส่วนใหญ่เราเจอแต่ฟองเต้าหู้ที่แห้งแล้ว มักเหลือแต่แป้งและโปรตีน แต่ฟองเต้าหู้สดยังมีความสมดุลของโปรตีน เกลือแร่ วิตามินอยู่ในตัวเอง”

เมนู ราดหน้ามังสวิรัติ (65 บาท) ใช้ผักที่ให้แมกนีเซียม กับเห็ดสามอย่าง กับเส้นปลอดสารเคมี, ข้าวกะเพราเห็ดไข่ดาว(75 บาท) ใช้เห็ดหูหนู เต้าหู้ ฟองเต้าหู้ ซึ่ง เห็ดหูหนู เป็นวัตถุดิบที่ป้านิดชอบมากอีกหนึ่งชนิด

"เห็ดหูหนู เป็นตัวละลายลิ่มเลือดที่ดีมาก พวกกินน้ำน้อย เครียดมาก กินน้ำตาลเยอะ เลือดจะข้น เกิดอาการลิ่มเลือด เหมือนที่มีข่าวเข้าผ่าตัดเข่าแล้วลิ่มเลือดอุดตันสมองถึงแก่ความตาย ร่างกายช็อคเพราะเกิดบาดแผลขณะผ่าตัด กลไลภูมิต้านทานจะทำงานทันที เกิดการเคลื่อนตัวของเลือด พอภาวะเลือดไม่ดีอยู่แล้ว จึงเกิดลิ่มเลือดไปอุดตันสมอง" ป้านิดกล่าวและพูดถึงการกินเห็ดหูหนูว่า เห็ดหูหนูที่ทำแห้งสามารถชงเป็นชาสำหรับดื่ม เห็ดหูหนูสดใช้ทำอาหาร ประโยชน์คือ ได้เส้นใยอาหารที่ละลายน้ำ ช่วยเก็บพิษ เก็บคอเลสเตอรอลส่วนเกินออกจากร่างกาย

มีหลายเมนูของร้านอาหาร ‘ดีจริง’ ที่ใช้เห็ดหูหนู เช่น ผัดพริกขิงเต้าหู้, เมี่ยงสด

อย่างไรก็ตาม ป้านิดออกตัวว่า วัตถุดิบที่ใช้ทำอาหารไม่สามารถกำหนดตายตัวได้ ขึ้นอยู่กับวัตถุดิบที่มีในแต่ละช่วงเวลา เช่น เมนูที่ใช้ ‘เห็ด’ บางวันอาจได้เห็ดไม่ครบชนิด เนื่องจากการปลูกแบบออร์แกนิคที่ต้องใช้ระยะเวลา หรือถ้าวันไหนเพาะถั่วงอกไม่สำเร็จ วันนั้นก็อาจไม่มีเมนูวุ้นเส้นผัดไทย แม้แต่อาจจำเป็นต้องหยุดขายอาหารเป็นจานๆ ก็ต้องทำ เช่นที่หยุดขายเมนู ‘ขนมจีนน้ำยา’ และ ‘ขนมจีนน้ำพริก’ ในขณะนี้ เพราะกำลังตรวจสอบ ‘เล้นขนมจีน’ ที่ทำด้วยข้าวกล้อง คนที่เคยชิมแล้วติดใจเมนูนี้ต้องรอก่อน


ร้าน ‘แสงแดด เฮลท์ มาร์ท’ สาขาเลียบทางด่วนเอกมัย-รามอินทรา เปิดบริการทุกวัน 10.00-20.00 น. โทร.0 2530 5290-1 ในส่วนของร้านอาหาร ‘ดีจริง’ เปิดบริการ 11.30-18.30 น.

คุณนิดดายังจัด เวิร์คชอป ‘สุขภาพดีมีไว้แบ่งปัน’ ทุกวันเสาร์ เวลา 10.30-12.00 น. หมุนเวียนเปลี่ยนหัวข้อไปเป็นลำดับ เช่น วันนี้(เสาร์ 26 มี.ค.) อบรมสุขภาพกับป้านิดดา หงษ์วิวัฒน์ เรียนรู้ 10 วิธีช่วยร่างกายขับพิษ, วันเสาร์ที่ 2 เม.ย. ถาม-ตอบปัญหาสุขภาพกับป้านิดดา, วันเสาร์ที่ 9 เม.ย. Healthy Detox Drink เรียนรู้สูตรเครื่องดื่มผัก-ผลไม้ปั่นเพื่อสุขภาพ เช่น สูตรฟอกเลือดปรับสมดุล สูตรบำรุงตับขับพิษ สูตรต้านมะเร็ง, วันเสาร์ที่ 30 เม.ย. Healthy Cooking กับเชฟน่าน สอนทำเมนู ‘โมเดิร์น มังสะ’ รับผู้สนใจเข้าร่วมกิจกรรมได้ครั้งละ 50 คน โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ลงทะเบียนโทร.0 2934 4414 ต่อ 109 ติดตามข่าวเวิร์คชอปทางเฟซบุ๊ค/SANGDADHEALTHMART

ภาพ : เอกรัตน์ ศักดิ์เพชร