ปชป.ซัดอัยการไม่ยื่นฎีกา'ธรรมรักษ์' คดีซื้อพรรคเล็ก

ปชป.ซัดอัยการไม่ยื่นฎีกา'ธรรมรักษ์' คดีซื้อพรรคเล็ก

"ถาวร-ทีม กม.ปชป."ซัดอัยการ หลังงุบงิบไม่ยื่นฎีกา"พล.อ.ธรรมรักษ์" จากคดีซื้อพรรคเล็ก เปิดช่อง “พท.” บิดเบือนข้อเท็จจริง

นายถาวร เสนเนียม อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นผู้มีบทบาทในการยื่นฟ้องยุบพรรคไทยรักไทยในปี 2549 แถลงว่า กรณีที่มีการบิดเบือนจากพรรคเพื่อไทยว่าตุลาการรัฐธรรมนูญตัดสินยุบพรรคไทยรักไทยในปี 2550 เป็นการกลั่นแกล้งพรรคไทยรักไทยโดยอ้างคำตัดสินของศาลฎีกาไม่ได้พิพากษาว่าพล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา รองหัวหน้าพรรคไทยรักไทยในขณะนั้นมีความผิดจากการซื้อพรรคเล็ก เนื่องจากศาลอุทรณ์พิพากษากลับยกฟ้อง โดยให้ประโยชน์แห่งความสงสัยแก่จำเลยเพราะไม่มีใครเห็นพล.อ.ธรรมรักษ์ จ่ายเงิน จึงยกฟ้อง จากนั้นอัยการสูงสุดถอนฟ้องเฉพาะพล.อ.ธรรมรักษ์ ออกในชั้นศาลฎีกาจึงมีคำถามว่าเหตุใดทางอัยการสูงสุดจึงไม่มีการแถลงต่อสาธารณชนว่าไม่มีการยื่นฎีกากรณีพล.อ.ธรรมรักษ์ ซึ่งถือเป็นคดีที่สองที่อัยการไม่ยื่นฟ้องต่อศาลฎีกา คดีแรกคือคดีคุณหญิงพจมาน ชินวัตร หลีกเลี่ยงภาษีกว่า 545 ล้านบาท ก็ไม่มีการยื่นฎีกาแต่ยุติเรื่องที่ศาลอุทธรณ์ซึ่งพิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่าไม่มีความผิด ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่น่าสังเกตว่าเหตุใดเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคนเหล่านี้อัยการจึงไม่ยื่นฟ้องให้สิ้นสงสัยถึงชั้นฎีกาแต่กลับยุติคดีไว้ที่ศาลอุทธรณ์ด้วยการไม่ยื่นฟ้องต่อศาลฎีกา

นอกจากนี้กรณีการถอนฟ้องพล.อ.ธรรมรักษ์ แต่ยังฟ้องลูกน้องของพล.อ.ธรรมรักษ์และมีการตัดสินว่ากระทำความผิดจริงนั้น เป็นเรื่องที่พรรคไทยรักไทยได้ประโยชน์จากการกระทำดังกล่าวเพื่อหนีเกณฑ์ตามกฎหมายที่ต้องชนะเกินร้อยละยี่สิบ ส่วนเรื่องที่กล่าวหาว่าคนของพรรคประชาธิปัตย์ว่าจ้างให้มีการใส้ร้ายพรรคไทยรักไทยนั้น ก็ขอท้าให้ฟ้องร้องเพื่อจะได้พิสูจน์ความจริง รวมถึงพล.อ.ธรรมรักษ์ ถ้าคิดว่าคนของพรรคว่าจ้างให้มีการเบิกความเท็จก็ขอให้ฟ้องร้องเลย และตนจะได้หารือกับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตเลขาพรรคประชาธิปัตย์ ที่เป็นผู้ถูกกล่าวหาว่ามีการว่าจ้างให้ใส่ร้ายพรรคไทยรักไทยด้วยว่าจะดำเนินคดีกับคนที่ทำให้เกิดความเสียหายอย่างไร เพราะคดีนี้สิ้นสุดแล้วตั้งแต่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย 

"ทั้งนี้อยากตั้งคำถามว่าที่ศาลอุทธรณ์ยกฟ้องว่าเป็นการซัดทอดของจำเลยด้วยกันนั้น เหตุใดอัยการไม่ยื่นฎีกาเพื่อให้สิ้นสงสัย จึงขอเรียกร้องให้อัยการสูงสุดเปิดเผยคำวินิจฉัยสั่งฟ้องในศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ และการสั่งไม่ฟ้องคดีพล.อ.ธรรมรักษ์ในชั้นศาลฎีกาว่ามีเหตุผลอย่างไร เพราะจะต้องใช้ดุลพินิจที่สมเหตุสมผลที่วิญญูชนรับได้ เป็นธรรมถูกต้องตามกฎหมาย จะอ้างว่าเชื่อตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เพียงอย่างเดียวไม่ได้ ผมปรึกษาคุณวิรัตน์ (กัลยาศิริ) ว่าจะมีการฟ้องอัยการสูงสุดในขณะนั้นที่ใช้ดุลพินิจส่อว่าผิดกฎหมายหรือไม่ เพราะไม่สามารถใช้ดุลพินิจตามอำเภอใจได้ ผมโตจากอัยการมาสิบเก้าปียังมีอัยการดีเยอะแต่ถ้ามีสองสามคนทำไม่ดีก็ต้องดำเนินการ จะมีการเร่งรัดกับคดีที่ฟ้องต่อปปช.ไปก่อนหน้านี้เรื่องที่ไม่ยื่นฎีกาคดีคุณหญิงพจมานหลีกเลี่ยงภาษีด้วยว่าคดีไปถึงไหนแล้วและเมื่อพวกผมแถลงแล้วก็อยากให้ พล.ต.อ.วัชรพล ประสานราชกิจ  ประธานปปช.ตรวจสอบการไม่ยื่นฎีกาพล.อ.ธรรมรักษ์ด้วยโดยไม่จำเป็นต้องมีใครไปร้องเพิ่มเติมเพื่อพิสูจน์ว่าเป็นยุคแห่งการปฏิรูปและฝากไปยังพล.อ.ไพบูลย์และพล.อ.ประยุทธ์ ว่าก่อนหน้านี้ที่มีคำสั่งปลดอัยการสูงสุดคนหนึ่งคือ นายอรรถพล ใหญ่สว่าง นั้นเป็นเพราะเหตุผลอะไรเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วยหรือไม่ ผมขอเรียกร้องผ่านสื่อมวลชนไปยังพล.อ.ประยุทธ์ให้ใช้มาตรา 44 เพื่อออกคำสั่งให้มีการตรวจสอบเรื่องนี้เพราะผลที่เกิดออกมาในยุคของท่านรวมทั้งฝากไปถึงแกนนำพรรคเพื่อไทยหากเห็นว่าคำวินิจฉัยตุลาการรัฐธรรมนูญในขณะนั้นไม่เป็นธรรมให้ยื่นฟ้องตุลาการและขอยื่นจะทะเบียนชื่อพรรคไทยรักไทยใหม่อีกครั้งด้วย” นายถาวร กล่าว

นายวิรัตน์ กัลยาศิริ หัวหน้าทีมกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ แถลงว่าขอเรียกร้องไปยังกรรมการร่างรัฐธรรมนูญว่า อัยการควรมีอิสระในการสั่งคดีแต่ควรมีองค์กรตรวจสอบ เช่น ถ้าศาลชั้นต้นลงโทษอัยการไม่อุทธรณ์หรือฎีกาต้องเอาคำสั่งดังกล่าวแจ้งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) , ผู้ตรวจการแผ่นดิน หรือองค์กรอิสระตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของอัยการด้วย เพราะที่ผ่านมาคนมีฐานะทางสังคมสามารถบิดเบือนกระบวนการยุติธรรมด้วยการเสมือนสมคบกับฝ่ายอัยการโดยยุติคดีไม่ให้ขึ้นสู่การพิจารณาในศาลฎีกา