สปภ.เตือนใช้'เทียนเทียม'ไหว้เจ้า เสี่ยงไฟไหม้

พ.ต.อ.เทวานุวัฒน์ อนิรุทธเทวา รองผู้อำนวยการสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย(สปภ.) กรุงเทพมหานคร(กทม.) รักษาการผู้อำนวยการสปภ. กล่าวถึงมาตรการป้องกันไฟไหม้ในอาคารสูง ภายหลังกรณีเกิดเหตุเพลิงไหม้อาคาร ที่ถนนนราธิวาสฯ ซอย 18 เมื่อวันที่ 5 ก.พ. ว่า สำหรับอาคารสูงที่เป็นที่พักอาศัยไม่ว่าความสูงเท่าใด กฎหมายควบคุมอาคารของสำนักการโยธา กทม. กำหนดให้ต้องมีถังดับเพลิงแบบหูหิ้ว น้ำหนัก 10 กิโลกรัมติดตั้งไว้ 2 เครื่องทุกชั้นของอาคาร แต่ถ้าอาคารมีพื้นที่เกิน 2 พันตารางเมตรจะต้องเพิ่มถังดับเพลิงเพิ่มอีก 1 ตัว ส่วนอาคารสูงที่เป็นอาคารพาณิชย์ โรงแรม ห้างสรรพสินค้า อุตสาหกรรม ที่มีความสูงนับจากพื้นถึงหลังคาเกิน 23 เมตร มีพื้นที่มากกว่า 2 หมื่นตารางเมตร ต้องมีระบบดับเพลิงพื้นฐานภายในตัวอาคาร อาทิ สปริงเกอร์ ระบบท่อน้ำ ระบบเครื่องสูบน้ำ กริ่งสัญญาณ ระบบตรวจจับควัน ระบบตรวจจับความร้อน เพื่อใช้ดับไฟในเบื้องต้น แต่หากระบบดับเพลิงพื้นฐานที่มีไม่สามารถป้องกันไฟได้ ก็ต้องให้นักดับเพลิงเข้าไปดับไฟภายในตัวอาคาร โดยต่อท่อน้ำกับระบบสูบน้ำของอาคารที่มีอยู่ โดยจะดับไฟร่วมกับรถฉีดน้ำของสปภ. ซึ่งสามารถฉีดน้ำได้สูง 5 ชั้น ซึ่งเป็นรถดับเพลิงขนาด 6 พันลิตร และ 1 หมื่นลิตร สามารถฉีดได้ทั้งน้ำและโฟม     

พ.ต.อ.เทวานุวัฒน์ กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ ที่ผ่านมาเมื่อเกิดเหตุเพลิงไหม้ ก็จะมีเฮลิคอปเตอร์บินขึ้นสำรวจพื้นที่ไฟไหม้เพื่อใช้เป็นแผนการดับเพลิง อีกทั้งใช้ตรวจผู้ติดค้างในอาคารว่าอยู่ในบริเวณใดเพื่อเตรียมแผนในการช่วยเหลือ โดยในปี 2560 สปภ.จะจัดซื้อโดรนจำนวน 10 ตัว เพื่อนำมาปฏิบัติภารกิจเพิ่มเติมนอกเหนือจากการใช้เฮลิคอปเตอร์ เพื่อใช้บินสังเกตการณ์จากมุมสูงของอาคารที่เกิดไฟไหม้ ในการนำมาประเมินแผนการช่วยเหลือและอพยพผู้ติดค้าง นอกจากนี้จากปัญหาพื้นที่ซอยแคบ ซึ่งรถดับเพลิงขนาดใหญ่ไม่สามารถเข้าพื้นที่ได้สะดวก สปถ.จะได้จัดซื้อรถเอทีวี จำนวน 20 คันงบประมาณ 150 ล้านบาท ซึ่งเป็นรถ 6 ล้อเล็กกว่าขนาดรถตุ๊กตุ๊ก นั่งได้ 2 คนเพื่อนำมาใช้งานในพื้นที่ซอยแคบ โดยรถดังกล่าวจะบรรทุกเครื่องสูบน้ำแรงดันสูงนำไปต่อกับท่อประปาในซอยหรือบ้านประชาชน เพื่อเข้าไปดับไฟในพื้นที่ที่จำกัดได้ ซึ่งรถเอทีวีจำนวน 20 คันจะจัดส่งภายในเดือนก.พ.นี้   

"การนำนักพจญเพลิงเข้าไปในตัวอาคารเป็นการทำงานแบบเชิงรุก ส่วนการฉีดน้ำนอกอาคารเป็นการทำงานแบบเชิงรับ ซึ่งเป็นมาตรฐานเช่นเดียวกับการดับเพลิงทั่วโลก เว้นแต่บางประเทศที่เริ่มยกเลิกให้นักดับเพลิงเข้าไปดับไฟภายในตัวอาคารเเล้ว เพราะมีความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตมากกว่า"พ.ต.อ.เทวานุวัฒน์ กล่าว     

พ.ต.อ.เทวานุวัฒน์ กล่าวด้วยว่า ไฟไหม้ครั้งเดียวไม่เท่ากับโจรปล้นสิบครั้ง ดังนั้นในช่วงการไหว้เจ้าในเทศกาลตรุษจีน อยากให้ผู้ที่จะทำการใดต้องมีสติ โดยให้นึกถึงความปลอดภัยเป็นอันดับแรก ให้ตรวจสอบทุกครั้งก่อนออกจากบ้านว่าลืมปิดไฟ ลืมปิดแก๊ซ ลืมถอดปลั๊กไฟไว้หรือไม่ โดยเฉพาะเต้าเสียบขออย่าให้มีการใช้งานเป็นเวลานาน หรือเสียบค้างไว้จะมีโอกาสไฟไหม้ได้ทุกครั้ง อีกทั้งไฟเทียนเทียมที่อยู่ในศาลเจ้า อุปกรณ์เหล่านี้ถือว่าเป็นตัวไหม้เลย ขอให้ประชาชนอย่าเปิดทิ้งไว้ ถ้าจะเปิดขอให้เปิดขณะบูชาเท่านั้น เพราะเคยมีการตรวจเเล้งพบว่าไม่มีมาตรฐาน ไม่มีมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม(มอก.) จึงอย่าคิดว่าอุปกรณ์เหล่านี้จะไม่มีอันตรายอะไร ที่สำคัญถ้าทุกคนรักครอบครัว อยากให้ติดตั้งถังดับเพลิงขนาดเล็กเอาไว้ในบ้าน เพื่อไม่ให้ไฟเล็กไหม้เป็นไฟใหญ่ หากมีอะไรขอให้แจ้งมาที่ 199 ตลอด 24 ชั่วโมง    

ด้านนายสุทัศน์ รุจิณรงค์ ผู้อำนวยการเขตยานนาวา กล่าวว่า ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้วว่าอาคารที่เกิดเพลิงไหม้ เป็นอาคารเลขที่ 32 ไม่ใช่อาคารบริษัท ซี.เค.เรซิเดนท์ จำกัด อาคารเลขที่ 42 ซอยนราธิวาสราชนครินทร์ 18 ถนนนราธิวาสราชนครินทร์ แขวงช่องนนทรี เขตยานนาวา กรุงเทพฯ ตามที่เขตเได้ประกาศไปแล้วก่อนหน้านี้ แต่ทางเขตยานนาวาได้แก้ไขประกาศให้ถูกต้องเรียบร้อยแล้ว ซึ่งอาคารหลังนี้ได้ขออนุญาตขอสร้างไว้ 9 ชั้น โดยจากการตรวจสอบไม่ได้พบการต่อเติมอาคารนอกเหนือจากที่ขออนุญาตไว้ แต่จากระยะเวลาเพลิงไหม้อาคารนานกว่า 2 ชั่วโมง จึงไม่มั่นใจว่าความแข็งแรงของโครงสร้างของอาคารจะเป็นอย่างไร     

"ภายหลังสำนักงานเขตยานนาวาปิดประกาศให้เจ้าของอาคารเข้าไปแก้ไขอาคารแล้ว จะร่วมกับสำนักการโยธา กทม. ตั้งคณะกรรมการเข้าไปตรวจสอบความแข็งแรงของโครงสร้างอาคารว่าจะต้องมีการปรับปรุงหรือไม่ หากมีการตรวจสอบโครงสร้างแล้วว่ายังเเข็งแรง ก็จะอนุญาตให้เจ้าของอาคารซ่อมแซมได้ แต่หากโครงสร้างอาคารไม่แข็งแรงจุดใดจุดหนึ่ง ก็จะให้เจ้าของอาคารลดความสูงของอาคารลงมาเพื่อความปลอดภัย"นายสุทัศน์ กล่าว