กราฟ 6 เดือน เตือน 'เล่นยาก' 'รัชต์ชยุตม์ จีระพรประภา'

กราฟ 6 เดือน เตือน 'เล่นยาก' 'รัชต์ชยุตม์ จีระพรประภา'

หุ้นไทยตกอยู่ในอาการสวิง หาจุดทำกำไรยาก 'หมอรัชต์ชยุตม์ จีระพรประภา' นักเทคนิค คิดเช่นนั้น

'ตลาดหุ้นไทยที่ไม่นิ่งเช่นนี้ ทำให้นักลงทุนติดหุ้นกันทั้งบ้านทั้งเมือง หลายคนไม่ค่อยมีอารมณ์เล่นหุ้น บางคนยอมขายเท่าทุนหรือขาดทุน' 'นพ.รัชต์ชยุตม์ จีระพรประภา' เซียนหุ้นเทคนิค บอกกับ 'กรุงเทพธุรกิจ BizWeek' 

เจ้าของห้อง VIP หมาย4 ประจำ บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน วิเคราะห์กราฟเทคนิคดัชนีปี 2559 ให้ฟังว่า หากย้อนดูตลาดหุ้นไทยตั้งแต่ปี 2518 จาก Indicator (เครื่องมือ) ที่เป็นที่นิยมในหมู่ Technical analysis อย่าง MACD (Moving Average Convergence Divergence) หรือ เส้นของค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (ตัวบ่งบอกจุดซื้อจุดขาย) จะพบว่า MACD ตัดใต้ 0 มาแล้ว 2 ครั้ง (MACD เหนือ 0 หมายถึง สัญญาณซื้อ MACD ใต้ 0 หมายถึง สัญญาณขาย)

ครั้งแรกเกิดขึ้นในเดือนมิ.ย.2539 ช่วงนั้นเมืองไทยเกิดวิกฤตต้มยำกุ้งในปี 2540 โดยดัชนีทยอยปรับตัวลดลงสู่ระดับต่ำสุด 210 จุด ภายในระยะเวลา 2 ปี (ส.ค.2541) ส่วนครั้งที่สองเกิดขึ้นในเดือนส.ค.2551 ถือเป็นช่วงเดียวกับที่ประเทศสหรัฐอเมริกาเกิดวิกฤติสินเชื่อซับไพรม์ แต่ตลาดหุ้นใช้เวลาปรับตัวลดลงแตะระดับต่ำสุดเพียง 3 เดือน

ทว่าล่าสุด MACD กลับมาอยู่ใต้ 0 อีกครั้ง เมื่อเดือนก.ย.2558 ช่วงนั้นหุ้นไทยยืนระดับ 1,350 จุด ซึ่ง MACD ตัด 0 ลงมา 4 เดือนแล้ว ถือว่า นานกว่าครั้งที่ 2 สัญญาณดังกล่าวบ่งบอกว่า หุ้นไทยกำลังเดินทางเข้าสู่

'ภาวะตลาดหมี' หรือ Bear Market

ที่สำคัญอาจกินเวลายาวนาน หลังเมื่อวันที่ 7 ม.ค.ที่ผ่านมา เป็นครั้งแรกที่เส้นค่าเฉลี่ย Moving Average 75 Month ตัด 0 ลงมา ที่บริเวณ 1,250 จุด ซึ่งทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้ในช่วง 1-2 เดือน นักลงทุนยังพอหาโอกาสทำกำไรได้ แต่หลังจากนั้นต้องมานั่งลุ้นต่อว่า

'จะกินเวลายาวนานเหมือนครั้งแรก หรือจะเกิดขึ้นไม่นานเหมือนครั้งที่สอง'

แต่จากการนำทรงกราฟในอดีตมาเปรียบเทียบกับทรงกราฟในปัจจุบันจะพบว่า 'มีโอกาสซึมไปสักพัก' พร้อมเปิดทรงกราฟในอดีตและปัจจุบันประกอบบทสนทนา 'หมอวิน' บอกว่า หากพิจารณาจากกราฟในอดีตจะเห็นว่า ดัชนีเริ่มก่อตัวเป็นไหล่ซ้าย ขึ้นไปเป็นหัว แล้วลงมาเป็นไหล่ขวา ก่อนจะไหลลงเรื่อยๆ (รูปแบบหัวไหล่ หรือ Head and Shoulder)

ทรงกราฟในครานั้นมีรูปร่างหน้าตาเหมือนครั้งนี้เป๊ะ คือ ก่อขึ้นเป็นไหล่ขวาแล้ว ฉะนั้นคงต้องลุ้นต่อไปว่า จะไหลลงต่อหรือไม่ ส่วนตัวเชื่อว่า คงใช้เวลาพอสมควรกว่าจะไหลลง แต่เมื่อเส้นค่าเฉลี่ยบ่งบอกแบบนี้ในเวลานี้ ส่วนตัวคงไม่ลงทุนแนวบู๊เหมือนก่อน และอยากให้นักลงทุนพิจารณาการลงทุนในรอบคอบ

'ตลาดหุ้นในช่วง 2 ปีนี้ คงเล่นยาก หากพิจารณาจากหลักฐานทางเทคนิค ผมมองว่า ของจริงจะมาในเดือนมี.ค .แต่ในช่วง 2 เดือนนี้ คงขึ้นๆลงๆ ฉะนั้นนักลงทุนยังพอเล่นได้ แต่อย่าลืมถือเงินสดด้วย หากใครเชื่อเทคนิค' 

เมื่อต้นปีที่ผ่านมานักวิเคราะห์หลากหลายสำนักบอกว่า ค่า P/E ตลาดหุ้น ปี 2558 อยู่แค่ 14 เท่า ถือว่าถูกมาก แต่หลังจากนั้น ค่า P/E ก็ขึ้นตลอด ทั้งๆที่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลง นั่นเป็นเพราะราคาน้ำมันที่ลดลง ทำให้ 'หุ้นกลุ่มพลังงานชั้นดี' เหลือเพียงไม่กี่บาท ขณะที่ 'หุ้นกลุ่มสื่อสาร' บางตัวก็ลดลงเช่นกัน แม้บางจังหวะเวลาจะเด้งมาระดับหนึ่ง เรื่องเหล่านี้ก็บ่งบอกอะไรได้บางอย่างในอนาคต

'เส้นเทคนิคไม่ได้บ่งบอกว่า จะเกิดเสมอไป แต่อย่างน้อยทำให้เราเห็นสถิติ และเตือนตัวเองให้ลดความเสี่ยง'

เมื่อถามถึงกลยุทธ์การลงทุนในปี 2559 เขา ตอบว่า ส่วนตัวคงเล่นน้อยมากๆเฉลี่ย 20-30% ของพอร์ต ออกแนวเก็บเนื้อเก็บตัว แตกต่างจาก 9 เดือนแรกของปีก่อนที่ซื้อขายหนักมาก (บอกมูลค่าลงทุนนอกรอบที่ใหญ่กว่านักลงทุนรุ่นลายครามบางราย)

ผมเริ่มทยอยนำเงินออกจากตลาดหุ้น ตั้งแต่ปี 2558 ช่วงเดือนต.ค.หลังได้กำไร หุ้น ทิปโก้แอสฟัลท์ หรือ TASCO มาระดับหนึ่ง ผมเริ่มซื้อ TASCO เมื่อเดือนมี.ค.2558 แถว 110 บาท (พาร์ 10 บาท) ก่อนจะขายออกในราคา 41-42 บาท (พาร์ 1 บาท) หากคิดจากพาร์เดิมราคาขายจะอยู่เฉลี่ย 410-420 บาท

เหตุผลที่ซื้อหุ้น TASCO แน่นอนว่า เกิดจากการอ่านเส้นเทคนิค เขา เปิดกราฟประกอบบทสนทนา ราคาหุ้นใช้เวลาก่อตัวเป็นก้านธง ตั้งแต่เดือนก.พ.2552 จนถึงเดือนพ.ย. 2553 ก่อนจะเริ่มก่อตัวเป็นรูปธงในเดือนพ.ย.ปี 2553 ถึงเดือนก.พ.ปี 2558 ซึ่งรูปแบบลักษณะนี้บ่งบอกว่า 'หุ้นจะไปต่อ'

ขณะเดียวกันยังมีมีโอกาสได้เจอเจ้าของบริษัท ทำให้รับรู้ว่า บริษัทจะได้ประโยชน์ จากความต้องการใช้ยางมะตอยที่มากขึ้นในแถบเอเชีย ซึ่งในแถบนี้มีโรงงานของ TASCO เพียงแห่งเดียว เพราะหลายบริษัทไม่นิยมผลิตน้ำมันเตา หลังทำแล้วไม่ได้กำไร เมื่อความต้องการมากแต่ผู้ผลิตมีน้อย เท่ากับว่า ซัพพลายจะขาดตลาด บวกกับบริษัทจะได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลง ซึ่งหุ้นลักษณะนี้นานๆจะมาให้เล่นสักครั้ง

'ทรงกราฟ TASCO ในวันนั้น เหมือนทรงกราฟ หุ้น อะโรเมติกส์หรือ ATC ในอดีต ซึ่งการจะนำทรงกราฟที่มีลักษณะใกล้เคียงกัน และนำหุ้นที่ได้ประโยชน์จากสิ่งเดียวกันมาเปรียบเทียบกัน นักลงทุนคนนั้นต้องมีประสบการณ์ในตลาดหุ้นพอสมควร'

เมื่อถามว่า ตลาดหุ้นผันผวนเช่นนี้ ควรลงทุนหุ้นกลุ่มใด 'คุณหมอนักลงทุน' บอกว่า คงจะเป็น 'กลุ่มโรงพยาบาล' ซึ่งผมไม่ได้ลงทุนหุ้นตัวนี้ แต่ 'ศรีฟ้า แจ่มวุฒิปรีชา' หรือ มาม่าบลู เซียนหุ้นรุ่นใหญ่ ในฐานะนักลงทุนคนสนิท เคยสอนผมว่า

การลงทุนในตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อ 10 ปีก่อน ที่หลายคนมักหากำไรจาก หุ้นปั่น หรือหุ้นที่มีแนวโน้มในการเติบโตต่ำ แต่การลงทุนในตลาดหุ้นยามนี้ ควรเน้นลงทุนในหุ้นที่มองเห็นกำไรจริงๆ ซึ่งหุ้นโรงพยาบาลมีลักษณะเช่นนั้น แม้หุ้นโรงพยาบาลแม้จะไม่เติบโตก้าวกระโดด แต่จะได้ประโยชน์จากการเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ (Aged society)

หลายคนบอกว่า ชอบลงทุนหุ้นที่จ่ายเงินปันผลดีๆ แต่วันนี้อาจลงทุนแบบนั้นในหุ้นบางกลุ่มไม่ได้แล้ว เพราะหุ้นตัวใหญ่บางตัวมีการปรับเปลี่ยนพื้นฐาน จนทำให้ไม่สามารถจ่ายปันผลได้ดีเหมือนเคย โดยเฉพาะกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี

ยกเว้นพวก 'กลุ่มโรงไฟฟ้า' ที่ดำเนินธุรกิจไฟฟ้าจริง เช่น บมจ.ผลิตไฟฟ้า หรือ EGCO และบมจ.ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง หรือ RATCH เนื่องจากให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอ แต่คงต้องดูว่า มีโรงไฟฟ้าสร้างรายได้ในมือเพิ่มขึ้นหรือลดลง

ส่วนตัวไม่ชอบ 'หุ้นปันผล' ทั้งพอร์ตมีแค่ หุ้น ท่าอากาศยานไทย หรือ AOT เพียงตัวเดียว เพราะเชื่อว่าคงไม่มีบริษัทใดเข้ามาทำธุรกิจนี้แทนที่ AOT ได้ ทุกวันนี้ AOT มีตัวเลขมาร์เก็ตแคปประมาณ 4.81 แสนล้านบาท แซงหน้า บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส ADVANC ที่มีมาร์เก็ตแคปเฉลี่ย 4 แสนล้านบาท ลดลงจากปี 2556 ที่เคยมีมาร์เก็ตแคปสูงถึง 9 แสนล้านบาท

'นักลงทุนต้องอ่านธุรกิจให้ขาด เรื่องนี้สำคัญมาก เมื่อคิดจะเล่นหุ้น'

๐วิธีคัดหุ้นสวย

'เซียนหุ้นเทคนิค' หนึ่งในศิษย์รักของ กูรูรายใหญ่ 'เสี่ยป๋อง วัชระ แก้วสว่าง' เล่าถึงสูตรการหาส่วนต่างของราคาหุ้นว่า ต้องพิจารณาว่า 'หุ้นตัวนั้นกราฟสวยหรือไม่' แล้วเราจะวัดความสวยจากอะไรละ?

แน่นอนว่า เราต้องพิจารณาจากโครงสร้าง และระบบกราฟที่คัดหุ้นมาให้เราเลือก เมื่อได้รายชื่อหุ้นมาแล้วต้องกลับมาดูต่อว่า หุ้นตัวนี้มีพื้นฐานอะไรที่จะทำให้ราคาหุ้นสามารถเติบโตได้ในอนาคต

พูดง่ายๆ หาผู้หญิงสวยให้เจอก่อนแล้วค่อยลงไปศึกษานิสัย เราไม่จำเป็นต้องเข้าไปหาพ่อแม่เขาเสมอไป (เจ้าของบริษัท) เพราะคนสวยเช่นนี้ย่อมหาข้อมูลอ่านได้ในโลกอินเตอร์เน็ต เว้นเสียแต่ว่า ถ้ามีโอกาสก็จะไป แต่ถ้าไม่จำเป็น ก็ไม่อยากไปรบกวนเขา

จริงๆ ผมอาจเหมาะกับกลยุทธ์ 'CAN SLIM' หรือ 'ซื้อแพงเพื่อไปขายแพงกว่า' เพื่อนสนิทบอกกับผมอย่างนั้น ซึ่งแนวคิดนี้เป็นของ 'วิลเลียม โอนิล' เซียนหุ้น ในฐานะเจ้าของหนังสือ How to Make Money in Stocks

สำหรับแนวทางการลงทุนแบ่งออกเป็น 7 ประการ คือ C หมายถึง ผลกำไรไตรมาสก่อน (Current quarterly earnings) มองหาบริษัทที่เพิ่งประกาศผลการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 40-500%

A หมายถึง กำไรต่อปีเพิ่มขึ้น (Annual earnings increases) มองหาบริษัทที่มีความเติบโตติดต่อกัน 5 ปี โดยมีอัตราเติบโตที่ไม่ต่ำกว่า 25% ต่อปี

N หมายถึง สินค้าใหม่ ทีมบริหารใหม่ จุดสูงสุดใหม่ (New products, new management, new highs)

S หมายถึง อุปสงค์ และ อุปทาน (Supply and demand) หากหุ้นที่มีขนาดเล็กมีปริมาณการซื้อขายสูงๆ จะทำให้โอกาสที่ราคาหุ้นจะถูกขับเคลื่อนสูงขึ้นได้

L หมายถึง ผู้นำ และ ผู้ตาม (Leaders and laggards) เลือกลงทุนในหุ้นที่มีความเข้มแข็งในอันดับต้นของหมวด หุ้นเหล่านี้มักจะปรับตัวดีกว่าหุ้นอื่นๆในหมวดเดียวกันในอัตรา 80-90% ภายใน 12 เดือน อยู่ให้ห่างหุ้นที่ปรับตัวแย่ลงในระยะ 7 เดือน

I หมายถึง ได้รับการสนับสนุนจากนักลงทุนสถาบัน (Institutional sponsorship) หาให้ได้ว่า หุ้นตัวใดที่นักลงทุนสถาบันนิยมซื้อ หากเป็นหุ้นที่มีผลตอบแทนดีและนักลงทุนสถาบันยังมีอยู่น้อย เราอาจจะนำมาเป็นหุ้นที่เราจะเข้าซื้อ

M หมายถึง ทิศทางของตลาด (Market direction) ตรวจสอบตลาดทุกวันเพื่อหาสัญญาณของการปรับตัวลง และให้ระวังการเข้าซื้อในขณะนั้น (อ้างอิงบทความ “วิบูลย์ พึงประเสริฐ”)

เขา บอกว่า ตอนนี้ชอบหุ้น กรุ๊ปลีส หรือ GL แต่มาเจอตอนราคาสูงมากแล้วประมาณ 8-9 บาท เมื่อปี 2558 ราคาหุ้น GL เพิ่มขึ้น 4 เท่าตัว ซึ่งหุ้น GL ถือเป็น 1 ใน 5 หุ้น ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุดของปี 2558 โดยตัวแรก คือ หุ้น ทิปโก้แอสฟัลท์ หรือ TASCO 2.หุ้น กรุ๊ปลีส หรือ GL 3.หุ้น ทีอาร์ซี คอนสตรัคชั่น TRC 4.หุ้น ทิปโก้ฟูดส์ หรือ TIPCO และ5.หุ้น เอเซีย พรีซิชั่น หรือ APCS

ทำไมถึงชอบหุ้น GL? เซียนหุ้น ขยายความว่า บริษัทเติบโตจากการออกไปทำธุรกิจเช่าซื้อในประเทศกัมพูชา หลังเมื่อ 3 ปีก่อน รู้ว่าตัวเองเริ่มตีบตันในเมืองไทย แม้รายได้ในกัมพูชาจะคิดเป็น 30% ของรายได้รวม แต่ในแง่ของกำไร ถือว่าทำได้มากกว่าเมืองไทย ทั้งๆที่พอร์ตเล็กกว่า นั่นหมายความว่า การบุกเออีซีเป็นบริษัทแรกๆทำแล้วได้ผล

เล่นหุ้น GL ตอนนี้อาจอ้วกได้ เพราะหุ้นขึ้นลงตลอด ฉะนั้นใครจะเล่นต้องดูให้ออกว่าหุ้นตัวนี้จะเติบโตอย่างไร เพราะบางตัวมันขึ้นด้วยความศรัทธา 'เสี่ยป๋อง' เคยบอกเช่นนั้นกับหมอวิน

๐ ตลาดไม่นิ่ง เหตุแห่งกำไร 30%

เล่นหุ้นท่ามกลางตลาดหุ้นผันผวนผลออกมาเป็นอย่างไร 'นักเทคนิค' ตอบคำถามนี้ว่า ปีก่อนได้กำไรเพียง 30-40% เท่านั้น นอกจากจะได้กำไรจาก หุ้น ทิปโก้แอสฟัลท์ หรือ TASCO แล้วยังได้จาก หุ้น ทิปโก้ฟูดส์ หรือ TIPCO (ถือหุ้นใหญ่อันดับสองใน TASCO สัดส่วน 23.96%) จริงๆแล้วหากตลาดหุ้นไม่หวือหวาคงได้กำไรมากกว่านี้ (แอบบอกเป้าหมายในใจ) เพราะปี 2558 เล่นหุ้นมากถึงสิบตัว แต่ได้กำไรกลับมาแค่สองตัว

'หมอนักลงทุน' ทิ้งท้ายว่า การที่ผมออกมาวิเคราะห์ตลาดขาลงเช่นนี้ รู้ดีว่าคงต้องถูกใครบางคนต่อว่า แต่เส้นกราฟมันบอกเช่นนั้น ผมพูดตามสิ่งที่เห็น แต่อย่างลืมว่า สุดท้ายอาจไม่ได้เป็นเช่นนั้นก็ได้ ผมแค่อยากเตือนว่า แผนที่นำทางมันบอกเช่นนั้น ก็ควรฟังๆไว้บ้างไม่เสียหาย

'เล่นหุ้นขาขึ้น เล่นหุ้นที่มีกำไรจริง ไม่ใช่เล่นหุ้นที่มีแนวโน้มจะจ่ายปันผลดี' เซียนหุ้นเทคนิค แนะนำการลงทุนเช่นนั้น