แพทย์ชี้ผู้ป่วยโรคถุงลมโป่งพองไทยพุ่ง

แพทย์ชี้ผู้ป่วยโรคถุงลมโป่งพองไทยพุ่ง

ผู้ป่วยโรคถุงลมโป่งพองไทยพุ่ง คาดผู้สูบบุหรี่ 10 ล้านคน ป่วยโรคถุงลมโป่งพองกว่า 1 ล้านคน

เนื่องในโอกาสวันรณรงค์ถุงลมโป่งพองโลก (World COPD Day) ซึ่งองค์การอนามัยโลก (World Health Organization) และองค์การโรคถุงลมโป่งพองแห่งโลก (Global Initiative Obstructive Lung Disease) ได้กำหนดให้วันพุธสัปดาห์ที่สองของเดือนพฤศจิกายนของทุกปีเป็นวันแห่งการรณรงค์โรคถุงลมโป่งพองโลก โดยในปีนี้มีคำขวัญว่า “It’s Not Too Late. - หายใจลำบาก ยังมีโอกาสแก้ไข” ทั้งนี้มูลนิธิโรคหืดแห่งประเทศไทย ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการสร้างความรู้ ความเข้าใจในโรคถุงลมโป่งพองที่ถูกต้อง จึงมุ่งสร้างความตระหนักถึงความจำเป็นในการดูแลสุขภาพและโทษภัยของการสูบบุหรี่ เพื่อช่วยลดอัตราความเสี่ยงสู่การเป็นโรคถุงลมโป่งพองได้ในอนาคต ด้วยงาน “วันรณรงค์ถุงลมโป่งพองโลก” ที่มาพร้อมกับกิจกรรมที่น่าสนใจ อาทิ การอภิปรายเรื่อง “เกมปริศนา..ในโรคปอด” การให้บริการด้านการตรวจวัดความดัน สมรรถภาพการทำงานของปอด วัดปริมาณน้ำตาลในกระแสเลือด การออกกำลังกายเพื่อสุขภาพกับทีมกายภาพบำบัด นอกจากมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบการหายใจของมูลนิธิฯ พร้อมให้คำปรึกษาอย่างใกล้ชิดอีกด้วย โดยภายในงานได้มีผู้ป่วยพร้อมครอบครัว และบุคลากรทางแพทย์ให้ความสนใจเข้าร่วมงานจำนวนมาก

ศาสตราจารย์นายแพทย์สุชัย เจริญรัตนกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประธานมูลนิธิโรคหืดแห่งประเทศไทย กล่าวว่า สาเหตุของโรคถุงลมโป่งพองมากกว่า 90% เกิดจากการสูบบุหรี่ที่ติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน รวมถึงการสูดเอามลพิษเข้าไปในปอด ซึ่งผู้ป่วยจะมีอากาป่วยอย่างช้าๆ และใช้เวลาหลายปี จึงทำให้ผู้ป่วยไม่เห็นความผิดปกติที่เกิดขึ้น จนต่อมาผู้ป่วยจึงเริ่มมีการอักเสบในหลอดลมและเนื้อปอด มีความยืดหยุ่นของปอดลดลง หลอดลมบวม ต่อมสร้างเมือกในหลอดลมโตขึ้นจนสร้างเสมหะเพิ่มขึ้น และกล้ามเนื้อหลอดลมหดตัว อันเป็นสาเหตุให้เกิดการอุดกั้นทางเดินหายใจแบบเรื้องรัง จนกระทั่งลมที่ผู้ป่วยเป่าออกมามีความเร็วที่ลดลงมากกว่าคนปกติ ที่ส่งผลให้มีลมค้างอยู่ในปอด ผู้ป่วยจึงมีอาการเหนื่อยง่าย หายใจไม่สะดวก เริ่มมีอาการเหนื่อยที่เพิ่มมากขึ้นเมื่อผู้ป่วยต้องออกแรง จึงมีความสามารถในการทำงานน้อยลง และอาจมีอาการหอบรุนแรงจนต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลก็เป็นได้

สถานการณ์ปัจจุบันของโรคถุงลมโป่งพองในประเทศไทยมีแนวโน้มสูงขึ้นตามลำดับเช่นเดียวกับทั่วโลก โดยนับเป็นหนึ่งที่เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตในลำดับต้นๆ ของประชากรไทย จึงถือได้ว่าโรคถุงลมโป่งพองเป็นปัญหาทางสาธารณสุขสำคัญของประเทศไทยอีกโรคหนึ่ง ซึ่งพบว่าในจำนวนผู้สูบบุหรี่ 10 ล้านคน จะมีผู้ป่วยด้วยโรคถุงลมโป่งพองกว่า 1 ล้านคน และมีจำนวน 3 แสนคนในกลุ่มผู้ป่วยที่เป็นผู้ป่วยที่มีอาการชัดเจนซึ่งต้องการความช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ผู้ป่วยจะมีอาการรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตประมาณปีละ 15,000 คน นอกจากนี้ยังมีข้อมูลว่าโรคนี้มักพบในผู้ชายอายุระหว่าง 30 – 50 ปี มากกว่าผู้หญิงสองเท่า เนื่องจากผู้สูบบุหรี่มักเป็นเพศชาย แต่อย่างไรก็ตามได้มีการศึกษาที่พบถึงสิ่งที่น่ากังวลในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วและประเทศกำลังพัฒนาว่า ผู้หญิงมีอัตราการสูบบุหรี่ที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทำให้อัตราการป่วยและเสียชีวิตจากบุหรี่ในเพศหญิงมีแนวโน้มที่ค่อยๆ สูงขึ้น ในขณะที่เพศชายกลับมีแนวโน้มลดลงในบางประเทศ

“ผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้จะมีสมรรถภาพปอดลดลงมากกว่าคนปกติ เมื่อเจอสิ่งกระตุ้นบางอย่างจะทำให้ผู้ป่วยมีอาการกำเริบได้ เช่น มีการติดเชื้อในทางเดินหายใจ ซึ่งนอกจากจะทำให้คุณภาพชีวิตผู้ป่วยแย่ลงแล้ว ยังทำให้โรคลุกลามได้เร็วขึ้นด้วย แต่ปัจจุบันวิวัฒนาการแพทย์ที่พัฒนามากขึ้นจึงทำให้มีวิธีการการรักษาที่สามารถทำให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้อย่างง่ายดาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากผู้ป่วยให้ความร่วมมือตามข้อแนะนำต่อไปนี้เป็นอย่างดี ได้แก่ การหยุดสูบบุหรี่โดยเด็ดขาด การไปพบแพทย์และเข้ารับการรักษาอย่างสม่ำเสมอ การตรวจสมรรถภาพปอดอย่างน้อยปีละครั้ง การกินอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ทุกปี เพื่อช่วยลดการกำเริบของโรค” ศาสตราจารย์นายแพทย์สุชัย กล่าวเพิ่มเติม