ยื่นคสช.ยกเลิกใช้ม.112-116 ดำเนินคดีปชช.ปมราชภักดิ์

คณะสังคมวิทยาและมนุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ กลุ่มเครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมืองไทย นำโดย นายอนุสรณ์ อุณโณ คณบดีคณะสังคมวิทยาและมนุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นายยุกติ มุกดาวิจิตร อาจารย์ประจำคณะสังคมวิทยาและนุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นายพิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมอ่านแถลงการณ์ฉบับที่2 "เรียกร้องให้ยุติการจับกุมคุมขังประชาชนที่ตรวจสอบโครงการอุทยานราชภักดิ์"

โดยนายอนุสรณ์ เป็นตัวแทนกลุ่มอ่านแถลงการณ์ โดยมีเนื้อหาว่า เนื่องจากการพยายามขัดขวางและข่มขู่ประชาชนที่จะเดินทางไปตรวจสอบการทุจริตในโครงการอุทยานราชภักดิ์ และปัจจุบันได้ยกระดับการข่มขู่ถึงขั้น เพียงแค่การส่งข้อมูลข่าวสารการตรวจสอบทุจริตหรือเพียงการกดปุ่ม”ถูกใจ” บนหน้าสื่ออนไลน์ กลับถูกคุมขัง ตั้งข้อหาร้ายแรงตามประมวลกฎหมายอาญาม.112และม.116โดยมีประชาชนสองคน คือ นายฐนกร ศิริไพบูลย์ และนายธเนตร อนันตวงษ์ ได้ถูกเจ้าหน้าที่จับกุมตัวไปขังในสถานที่ไม่เปิดเผย รวมทั้งไม่อนุญาตให้ ญาติและทนายความเข้าพบ

ดังนั้นเครือข่ายนักวิชาการและขอเรียกร้อง ไปยังคสช.3ข้อ1.ยุติการขัดขวาง ข่มขู่ คุกคามหน่วงเหนี่ยวนักศึกษาและประชาชนที่ตั้งข้อสงสัยให้มีการตรวจสอบโครงการอุทยานราชภักดิ์ เพราะการเคลื่อนไหวของนักศึกษาและประชาชนเป็นไปตามสิทธิพลเมืองขั้นพื้นฐาน อีกทั้งรัฐบาลเป็นหน่วยงานสาธารณะ สามารถตรวจสอบได้ และวิพากษ์วิจารณ์ ติชมได้ หากการวิพากษ์ใดไม่อยู่บนข้อเท็จจริงที่ถูกต้อง รัฐบาลมีหน้าที่ชี้แจงข้อเท็จจริงที่ถูกต้องเพื่อหักล้างข้อสงสัย ไม่ใช่การปิดกั้นคุกคามการตั้งคำถามและข้อสงสัยรวมทั้งจับกุมดำเนินคดีด้วยข้อหารุนแรง

2.ยุติการดำเนินคดี”ความผิดเกี่ยวกับความมั่นคง” ต่อการแบ่งปันข้อมูลการทุจริตในประเด็นอุทยานราชภักดิ์และการกดปุ่ม “ถูกใจ” รวมทั้งยุติการใช้ม.112และ ม.116ในศาลทหารเป็นเครื่องมือในการดำเนินคดีบุคคลที่เรียกร้องให้มีการตรวจสอบโครงการอุทยานราชภักดิ์

3.ยุติการจับกุมโดยพลการ และการควบคุมตัวที่ตัดขาดจากโลกภายนอก รวมทั้งยกเลิกเรือนจำชั่วคราวที่มทบ.11เนื่องจากที่ผ่านมามีผู้ต้องคดีที่ถูกคุมขัง ณ ที่แห่งนี้ เสียชีวิตโดยไม่สร้างสาเหตุแจ้งชัด รวมทั้งอนุญาตให้ผู้ต้องหาเข้าถึงทนายและญาติตลอดจนการรักษาพยาบาลที่จำเป็น และเปิดให้ศาลพลเรือนตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายของการควบคุมตัว

เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมืองยืนยันว่า "การตรวจสอบการทุจริตไม่ใช่อาชญากรรมและประชาชนที่กระตือรือล้นตรวจสอบไม่ใช่อาชญากร"ประชาชนมีสิทธิสงสัยและเรียกร้องให้ตรวจสอบโครงการของรัฐ สิทธิตั้งคำถามและแบ่งปันข้อมูลความไม่โปร่งใสในโครงการนั้นๆ การข่มขู่ คุกคาม ดำเนินคดีร้ายแรงจะยิ่งก่อให้เกิดความเคลือบแคลงสงสัยในโครงการดังกล่าวมากขึ้นไปอีก อีกทั้งมีแต่จะนำมาซึ่งความขัดแย้งในสังคมมากยิ่งขึ้น

นายอนุสรณ์ กล่าวด้วยว่า นายธเนตรอยู่ในภาวะป่วยไข้ แต่ยังถูกพาตัวไปโดยไม่ได้คำนึงถึงสวัสดิภาพแต่อย่างใด ขณะที่ขั้นตอนต่างในการผ่าตัดไม่ได้ถูกพูดถึง มีเพียงแค่การอนุญาตให้ญาติส่งยาแก้ปวดไปเท่านั้น

"รัฐบาลและคสช.ได้ลุกล้ำการแสดงออกของสิทธิพลเมืองไปอีกขั้นหนึ่ง สถานการณ์ในปัจจุบัน สิทธิในการแสดงความเห็นได้ถดถอยลงไปอีก ผมสงสัยว่าถ้าไม่กล่าวคำชม คสช.ทุกวันจะมีความผิดหรือไม่ และขณะนี้มีแต่ความหวดกลัวที่จะสะกดไม่ให้ขยายออกไป แต่จะอยู่ได้นานขนาดไหน นั่นคือคำถาม"นายอนุสรณ์กล่าว

นายอนุสรณ์ กล่าวว่า จากนี้เราจะเดินหน้า จัดการอภิปรายทางวิชาการโดยยกระดับขึ้น เพราะสังคมกำลังสับสนมากว่าเรื่องใดที่วิจารณ์ได้ หรือไม่ได้ โดยจะใช้มหาวิทยาลัยเป็นพื้นที่เรียกร้องให้คนในรัฐบาลที่เกี่ยวข้องกับโครงการดังกล่าวร่วมชี้แจงกับพวกเรา เพื่อสร้างความกระจ่างชัดให้สังคม

เมื่อถามว่า หากรัฐบาลยังเพิกเฉย จะมีกระบวนการกดดันอย่างไร กล่าวว่า เราคงไม่มีปัญญญาจะบังคับรัฐบาล แต่เราเชื่อว่าเราดำเนินการบนความถูกต้อง ซึ่งเราเป็นเสียงหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่าเราไม่ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น ในฐานะที่เราเป็นหนี้กับสังคมจากเงินที่จ่ายให้กับพวกเรา เราจึงขอยืนยันในหลักการต่อไป

ถามว่า ประเด็นใดบ้างที่อยากให้ชี้แจงใหhละเอียด กล่าวว่า ประเด็นการหักหัวคิวที่มีคนในรัฐบาลยอมรับ และสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ควรเป็นองค์กรของรัฐทำหน้าที่ตรวจสอบกันเอง จึงควรเปิดโอกาสให้หน่วยงานอื่นๆที่ไม่ใช่หน่วยงานรัฐ โดยอาจเป็นภาคประชาสังคม หรือประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วม

"กลุ่มที่เดินทางไปตรวจสอบเป็นครรลองที่ควรสนับสนุน การกระตุ้นให้คนรู้สึกว่าทรัพยากรในประเทศนี้ พลเมืองทุกคนควรรับผิดชอบร่วมกันอันเป็นสิทธิพลเมืองขั้นต้น ไม่ใช่บอกว่าไม่ใช่เรื่องของเรา การที่หทารเข้ามาโดยข้ออ้างว่าจะเข้ามาปราบคอร์รัปชั่นจากนักการเมือง แล้วจะมีความชอบธรรมได้อย่างไร หากรัฐบาลยังคงทำอย่างนี้" นายอนุสรณ์ ระบุ