ยังไปได้ไม่ไกล

ยังไปได้ไม่ไกล

เน้นเล่นสั้น เล็งหุ้นเป็นรายตัว ลงแรงซื้อ เด้งขึ้นขาย เน้นพื้นฐานดี ปันผลสูง

UOBKH แนวโน้มตลาดวันนี้ โดย ยศพณ แสงนิล, CFA : ยังไปได้ไม่ไกล

ตลาดไทยเมื่อวานนี้ปรับลง 0.7% มีแรงกดดันหลักจากกลุ่มสื่อสาร นำโดย True และ Advanc ที่พักฐานลงต่อเนื่อง นอกจากนี้ตัวเลขการส่งออกเดือนตุลาคมออกมาแย่กว่าคาด โดยปรับลดลงกว่า 8% เมื่อเทียบกับปีก่อน ส่วนค่าเงินบาทยังคงอ่อนค่าลงต่อเนื่องจากสัปดาห์ก่อนและตลาดดูเหมือนจะขาดปัจจัยใหม่ๆเข้ามาสนับสนุน ตลาดวันนี้น่าจะเทรดด้วยปริมาณซื้อขายที่เบาบาง เนื่องจากนักลงทุนฝั่งสหรัฐเข้าสู่ช่วงวันหยุด Thanksgiving และนักลงทุนส่วนใหญ่รอฟังผลการประชุม ECB ในสัปดาห์หน้า และหุ้นหลักในกลุ่มสื่อสารอย่าง True และ Advanc มีโอกาสกดดันตลาดได้ต่อ ส่วนกลุ่มแบงก์และพลังงานก็ยังไม่มี story ดีมาหนุน ดังนั้น ตลาดจะซึมๆต่อไป แกว่งในกรอบ 1370-1400 เน้นเล่นสั้นเฉพาะหุ้นกลุ่มที่มี story ดีรายตัว เช่น กลุ่มฤดูกาล high season(โรงพยาบาล, ท่องเที่ยว) กลุ่มก่อสร้าง(รับเหมา, วัสดุก่อสร้าง) และกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากบาทอ่อน(electronics)

แนวรับ/แนวต้าน : 1380/1410 สัดส่วนการลงทุน : เงินสด 50% : พอร์ตหุ้น 50%

กลยุทธ์ : เน้นเล่นสั้น เล็งหุ้นเป็นรายตัว ลงแรงซื้อ เด้งขึ้นขาย เน้นพื้นฐานดี ปันผลสูง และได้ประโยชน์จากโครงการรัฐ บวกกับค่าเงินบาทที่อ่อนค่า

นักลงทุนระยะสั้น : SVI (5.50), BDMS (25.50)

SVI (5.50) งบ Q3 ออกมาดีแล้ว ต่อไปงบ Q4 จะเข้าสู่ช่วงพีค ได้ประโยชน์จากค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลง ทำให้ส่งออกง่ายขึ้นและไม่ส่งออกไปจีน ทำให้ผลกระทบจากเศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัวมีค่อนข้างน้อยต่อ SVI ส่วนปีนี้จะเดินเครื่องผลิตได้เต็มที่เหมือนก่อนช่วงไฟไหม้ ประกอบกับ demand จากยุโรปยังแข็งแกร่งอยู่และปีหน้าจะได้ลูกค้าใหม่จากอเมริกา 4 ราย ส่งผลให้กำไรมีโอกาสจะโตถึง 40% ในปีหน้า

BDMS (25.50) โดยขณะนี้ BDMS มีราคาถูกที่สุดและ upside ที่สูงที่สุดในกลุ่มโรงพยาบาล ด้วย Target price ที่เราให้ไว้อยู่ที่ 25.50 ซึ่งให้ upside สูงถึง 20% ปัจจัยบวก มีอยู่หลายประการนะครับ เช่น 1.)BDMS จะสร้างตึกเพิ่มอีก 6 ตึก แต่ละตึกมี 60 เตียง ลงทุน 6 พันล้านบาท และ 2 พันล้านบาท เพื่อซื้ออุปกรณ์การแพทย์ โดยจะสร้างไว้รองรับผู้ป่วยต่างชาติจากการเปิด AEC โดยเราคาดว่าจะช่วยเพิ่ม capacity ได้ถึง 74% ภายในปี 2018 2.)BDMS มีแผนเปิดโรงพยาบาลเพิ่ม คือสมิทติเวช ชลบุรีในปีนี้ และเปาโลรังสิต และจอมเทียน Hospital ในปีหน้า และตั้งใจจะซื้อโรงพยาบาลเพิ่มอีก 6 โรงพยาบาลให้มีครบทั้งหมด 50 แห่ง 3.)อัตราส่วนของผู้ป่วยต่างชาติมีมากขึ้นเรื่อยๆ (30% เทียบกับ 25% เมื่อ 5 ปีก่อน) 4.)มีแผนขยายธุรกิจขายยาและเวชภัณฑ์ที่มี Margin สูงกว่าธุรกิจโรงพยาบาลทั่วไป สรุปคือ BDMS มี upside สูงถึง 20% และมีแผนขยายธุรกิจอย่างชัดเจน จัดเป็นหุ้น defensive ที่ต้านตลาดและเศรษฐกิจขาลงได้ดี

นักลงทุนระยะยาว : SYNTEC (3.80), CK (32)

SYNTEC (3.80) สำหรับหุ้นรับเหมาขนาดเล็กตอนนี้มีเพียงตัวเดียวที่ราคายังถูกอยู่และเป็นหุ้นพื้นฐานดี ปันผลมั่นคงคือ SYNTEC มี margin สูงและมีการรับรู้รายได้ต่อเนื่อง ทำให้งบไตรมาส 4 จะดีต่อเนื่องจากงบไตรมาส 2และ3 ที่ดีอยู่แล้วโดยทั้งปี 58 การรับงานทั้งปีจะสูงใกล้เคียง 1 หมื่นล้านบาทถือว่าเติบโตชัดเจนจากปีก่อน นอกจากนี้ยังมีแผนประมูลงานเพิ่มอีกในช่วงระยะสั้นนี้ได้แก่งาน CPN, NOBLE, SUPALAI บวกกับแผนการขยายส่วนต่อรถไฟฟ้าของรัฐบาลระยะยาวก็ช่วยให้มีการสร้างคอนโดเพิ่มและประมูลงานก่อสร้างเพิ่ม ทำให้มีรายได้มาเพิ่มระยะสั้นถึงยาวให้ SYNTEC

CK (32) (1)Mega projects เช่นรางคู่และการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีส้มจะช่วย earnings ให้เติบโตสูง 15% ในปีหน้า (2)การควบรวมกิจการของบริษัทลูก BMCL & BECL น่าจะอนุมัติเร็วๆนี้ (3)นอกจาก projects ของรัฐบาลยังมีโครงการลูก บริษัทลูก เช่น CKP มีโครงการน้ำบาก (Hydroelectric dam) ในประเทศลาว 1หมื่น7พันล้านบาท กำลังเจรจาน่าจะเซ็นสัญญา Q1 ปีหน้า (4)Q3 & Q4 sale & earnings ไม่ค่อยดี โครงการ mega projects ประมูลชนะปีนี้เริ่มทำปีหน้า ช่วงนี้เป็นโอกาสดีในการเริ่มเก็บสะสม CK (5)ราคาปัจจุบันให้ upside สูงกว่าคู่แข่งทั้ง ITD และ STEC



ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อการลงทุน

ปัจจัยภายในประเทศ

+ งบรถไฟไทย-จีนพุ่ง 5 แสนล้าน "ประยุทธ์" จี้ คมนาคมเร่งสางกรอบความร่วมมือ หลังหารือยืดเยื้อถึง 8 ครั้ง เตรียมส่ง "สมคิด-ประวิตร" บินตรงจีน ถกวงเงินและดอกเบี้ยยังสูงกว่า 2% เล็งปรับใช้เงินกู้ในประเทศ ขณะ ครม.ไฟเขียวร่างบันทึกความร่วมมือรถไฟไทย-ญี่ปุ่น ให้ "สมคิด" ลงนามในระหว่างการไปเยือน 25-28 พ.ย.

- ส่งออกเดือน ต.ค.ติดลบ 8.11% หนักสุดรอบปี ส่งผลเฉลี่ย 10 เดือนติดลบ 5.32% ด้าน ธปท.เล็งรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2558-2559 หลังความเสี่ยง "เศรษฐกิจ เอเชีย-ภัยแล้ง" เพิ่มขึ้น

+ ครม.อนุมัติตั้งกองทุนหมื่นล้าน สนับสนุนคลัสเตอร์อุตสาหกรรม 10 กลุ่ม เพิ่มขีดความสามารถแข่งขัน คลังขอเวลา 2 สัปดาห์ชัดเจนแหล่งเงินที่มาเงินทุน เล็งแก้กฎหมายจำกัดเพดานเงิน "สสส.-กองทุนกีฬา" หวังดึงเงินสมทบกองทุน ปิดฉากโครงการไทยเข้มแข็ง

- "คลัง" ห่วงหนี้นอกระบบรุนแรง สั่ง 2 แบงก์รัฐเร่งแก้ปัญหา "ธ.ก.ส." รับความสามารถชำระหนี้เกษตรกรลด ส่งผลเอ็นพีแอลพุ่ง 6% คลังจ่อลดทุนจดทะเบียนนาโนไฟแนนซ์ต่ำกว่า 50 ล้าน หวังเพิ่มผู้เล่นรายใหม่ปล่อยกู้รายย่อย

ปัจจัยต่างประเทศ

+ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 17,812.19 จุด เพิ่มขึ้น 19.51 จุด หรือ +0.11%

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (24 พ.ย.) เพราะได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงาน หลังจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับตัวขึ้นเนื่องจากข่าวเครื่องบินรบของรัสเซียถูกยิงตกในบริเวณชายแดนซีเรีย นอกจากนี้ ตลาดหุ้นนิวยอร์กยังได้รับปัจจัยบวกจากตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาส 3 ของสหรัฐที่ขยายตัวได้ดีกว่าการประมาณการครั้งก่อน

- ดัชนี FTSE 100 ปิดลดลง 28.26 จุด หรือ 0.45% ที่ 6,277.23 จุด

ตลาดหุ้นลอนดอนปิดปรับตัวลงเมื่อคืนนี้ (24 พ.ย.) นำโดยหุ้นกลุ่มสายการบิน หลังจากตุรกีได้ยิงเครื่องบินของรัสเซียลำหนึ่งตกใกล้กับบริเวณชายแดนของซีเรีย

+ ดัชนีนิกเกอิปรับขึ้น 45.08 จุด หรือ 0.23% ปิดที่ 19,924.89 จุด ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดในรอบ 3 เดือน

ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวปิดบวก เพราะได้แรงหนุนจากการที่นักลงทุนมีมุมมองที่เป็นบวกว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะส่งผลดีต่อบริษัทส่งออกและบริษัทอื่นๆของญี่ปุ่น

- สัญญาน้ำมันดิบส่งมอบเดือนม.ค.เพิ่มขึ้น 1.12 ดอลลาร์ หรือ 2.7% ปิดที่ 42.87 ดอลลาร์/บาร์เรล

สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส ตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (24 พ.ย.) หลังจากมีรายงานว่าเครื่องบินรบของรัสเซียถูกยิงตกในบริเวณชายแดนซีเรีย เนื่องจากการรุกล้ำน่านฟ้า ซึ่งข่าวดังกล่าวส่งผลให้เกิดความวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลาง