วิถีเถ้าแก่พันล้านแห่ง 'ซานตา เฟ่ สเต็ก'

วิถีเถ้าแก่พันล้านแห่ง 'ซานตา เฟ่ สเต็ก'

เริ่มต้นธุรกิจในวัย 26 ปี กับเงินทุนก้อนแรกก็แค่ 12,000 บาท วันนี้เขาในวัย 51 ปี คือเจ้าของ “ซานตา เฟ่ สเต็ก” มีมูลค่าธุรกิจกว่าพันล้านบาท!

“ครูที่ดีที่สุดก็คือ การล้มเหลวครั้งล่าสุด”

คำของ “เหม็ง-สุรชัย ชาญอนุเดช” ผู้ก่อตั้งและ CEO บริษัท เคที เรสทัวรองท์ จำกัด เจ้าของแบรนด์ “ซานตา เฟ่ สเต็ก” และร้านอาหารไทย-จีน “มิสเตอร์ เหม็ง” ที่บอกกับกรุงเทพธุรกิจ Bizweek ระหว่างเปิดตัวหนังสือ “ไปให้ถึงคำว่าใช่” ผลงานเขียนเล่มแรกของเขา

ตอกย้ำความสำคัญของการทำธุรกิจ ที่ในทุก “ความสำเร็จ” มี “ความล้มเหลว” เป็นส่วนประกอบเสมอ และคนที่ประสบความสำเร็จก็ล้วนต้องผ่านความล้มเหลวมาแล้วทั้งนั้น..ไม่เว้นแม้แต่ตัวเขา

เบาะๆ เบาๆ ก็แค่เจอพายุซัดใส่ทุกๆ 5 ปี จนธุรกิจต้องเป็นหนี้และขาดสภาพคล่อง ตั้งแต่ หลักล้าน หลักสิบล้าน ไปจนเกือบร้อยล้าน! สาหัสขนาดปิดแบรนด์ไปเลยก็มี แล้วเขารอดมาได้อย่างไร สุรชัยบอกความคิดที่ใช้รับมือกับปัญหา

“อย่าโฟกัสที่ปัญหา ต้องโฟกัสที่ทางออก เพราะเวลาเราจนตรอก มันจะมีซอกเล็กๆ ให้ผ่านเสมอ แค่มองหา ก็มองเห็น”

ทางออกในซอกเล็กๆ จะมีอยู่จริงหรือ ลองดูสถานการณ์ยืนยัน อย่างในวันที่เกิด “วิกฤติหนักสุด” ตลอดการทำธุรกิจของ เคที เรสทัวรองท์ กับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดเมื่อไม่กี่ปีก่อน และนำมาสู่การขาดสภาพคล่องอย่างหนักถึง “92 ล้านบาท!”

จุดเริ่มต้นของปัญหาเกิดจากร้าน “ครัวไท” แบรนด์แรกที่ชักนำเขาเข้าสู่วงการธุรกิจร้านอาหาร ร้านอร่อยเปิดมาได้ราว 20 ปี และขยายไปได้หลายสิบสาขา แม้แต่สาขาในต่างแดน อย่างกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ก็ไปปักธงมาแล้ว แม้เขาจะยอมรับว่า “ร้านครัวไท” ไม่ได้มีความแข็งแรงเลยในสายตาของเขา

ความอ่อนแอที่เห็นก็คือ ต้องพึ่งพาทักษะของคนมากเกินไป ง่ายๆ คือ “พ่อครัวแม่ครัว” เป็นผู้กำหนดชะตาชีวิตธุรกิจและมีอิทธิพลต่อความอยู่รอดเอามากๆ ปัญหาอย่างการ มาสาย ขาดงาน ไปจนถึง “ลาออก” เลยมีให้เห็นตลอด ถึงขนาดที่เขาว่า แก้ปัญหาจนแทบกลายเป็นงานประจำไปแล้ว และยิ่งสาขามากขึ้น ปัญหาก็เท่าทวีขึ้น

ทำอย่างไรจะเห็นทางออกในซอกเล็กๆ เขาเลือกไม่เอาตัวเองเข้าไปอยู่ในปัญหา ทว่าถอยออกมาดูจากในมุมสูง เพื่อให้เห็นต้นเหตุของปัญหาจนกระจ่าง แล้วลงไปแก้ไขให้ตรงจุด

ที่มาของการเปลี่ยนจากพึ่งพ่อครัวแม่ครัว มาเป็นใช้ระบบ “ครัวกลาง” โดยตัดคนปรุงอาหารออกจากสาระบบ ในครัวมีหน้าที่ก็แค่อุ่นอาหารให้ร้อนก่อนเสิร์ฟเท่านั้น แต่คิดหรือว่าแค่นี้จะทำให้หมดปัญหา ก็ในเมื่อปัญหา “ยังแก้ไม่สุด”
ระหว่างรอเปลี่ยนไปใช้ระบบครัวกลาง ก็เลือกจ้างข้างนอกผลิตให้ ปรากฏ รสชาติเพี้ยน วันเดียวทำลูกค้าหายไปเกือบครึ่ง พอใช้ระบบครัวกลางที่ทำเสร็จแล้วแช่แข็งส่งไปตามสาขา ปรากฏพนักงานประจำสาขาไม่รู้วิธีจัดการกับอาหาร ดันเอาไปเก็บไว้ในอุณหภูมิปกติ ทำให้อาหารเน่าเสีย จนกลายเป็นข่าวใหญ่โต “ครัวไท เสิร์ฟอาหารบูดให้ลูกค้า” เล่นเอาวันเดียวทำลูกค้าหายเกลี้ยง! จนต้องปิดตัวเองลงอย่างสงบภายในเวลา 3 เดือน!

เขาบอกเหตุผลของการตัดสินใจปิดร้านครัวไททุกสาขาลงว่า ก็เพื่อ “ตัดแขนตัดขา รักษาชีวิต”

“ตอนนั้น ‘ชื่อเสีย’ ของร้านครัวไทลุกลามไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งการจะกู้ภาพลักษณ์แบรนด์นั้นทำได้ไม่ง่าย ต้องใช้งบประมาณสูง และเราก็จะเสี่ยงไม่ได้ด้วย ผมเลยต้องเลือกระหว่างกู้ชื่อเสียงของครัวไท หรือเดินหน้า ซานตา เฟ่ สเต็ก ที่ในเวลานั้นกระแสนิยมกำลังมา และเตรียมขยายสาขาเพิ่ม สุดท้ายผมเลือกรักษาชีวิตไว้ คือ ซานตา เฟ่ แล้วตัดแขนขาทิ้ง”

การหายไปของแขนขา นำมาซึ่งการขาดสภาพคล่องถึง 92 ล้านบาท และทำให้มูลค่าธุรกิจที่เคยอยู่สูงกว่าร้อยล้านบาท ตกมาเหลือแค่ 8 ล้านบาท เท่านั้น แต่ใครจะคิดว่า ในปีที่แล้ว “เคที เรสทัวรองท์” จะได้รับการร่วมทุนจากกองทุนต่างประเทศ “เลคชอร์” ที่เข้าถือหุ้นประมาณ 26% วันนั้นผู้ลงทุนตีมูลค่าบริษัทของพวกเขาสูงถึง “หนึ่งพันล้านบาท!”

นั่นคือความแข็งแกร่งของธุรกิจที่นักลงทุนมองเห็นใน “แบรนด์ ซานตา เฟ่” ที่ไม่ได้มีแค่ความอร่อยและ “คุณภาพ” แต่ยังมี “เรื่องราว” (Story) ที่ทำให้แบรนด์มีชีวิต มีเอกลักษณ์ ทั้งเป็นพลังเสริมทำให้ลูกค้ารู้สึกถึงความคุ้มค่าที่ได้ซื้อสินค้า เพราะเขาว่า ลูกค้าซื้อเรื่องราวไม่ได้ซื้อตัวสินค้า ขณะที่ผ่านมาพวกเขาก็มุ่งสร้างแบรนด์มาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งผลก็ส่งถึงวันนี้

หลังการเข้ามาของหุ้นส่วนใหม่ เลยได้รับการสนับสนุนทั้ง เงินทุน ที่ปรึกษา และเครือข่ายธุรกิจ ปูทางการเติบโตที่ยิ่งใหญ่ให้กับพวกเขา โดยเฉพาะแผนเข้าตลาดหลักทรัพย์ ในอีก 5 ปีข้างหน้า ที่หวังขยับยอดขายมาแตะที่ 5 พันล้านบาท เลยเป็นที่มาของเป้าหมายสุดท้าทายในระยะ 3 ปีนี้ ที่ตั้งไว้ว่า ใน “ปี 2561” จะพิชิตรายได้รวมทะลุ 3,150 ล้านบาท และขยับมาเป็นผู้นำร้านอาหารในอาเซียน ขณะที่จะเปิดแบรนด์ใหม่ทุกๆ 3 ปี โดยใช้กลยุทธ์ “มัลติแบรนด์” เดินหน้าธุรกิจ

ทำไมถึงเลือกวิธีนี้ ทั้งที่ แบรนด์ครัวไท ก็เคยล้มหายตายจากไปครั้งหนึ่งแล้ว เขาบอกแค่ว่า

“ก็เพราะเคยพลาดมาแล้วเลยรู้ว่า ถ้าวันนี้เรามี ซานตา เฟ่ แค่แบรนด์เดียว เกิดเขาจากเราไปอีก แล้วความมั่นคงจะอยู่ตรงไหน” นั่นคือเหตุผลที่เขาย้ำว่า จากนี้จะไม่ขอฝากอนาคตไว้กับสินค้าเพียงตัวเดียว หรือแบรนด์ๆ เดียวอีกต่อไป

เจอวิกฤติอยู่บ่อยครั้ง และก็ไม่เชื่อด้วยว่าที่ผ่านมาจะเป็นครั้งสุดท้าย เมื่อถามว่า เตรียมรับมือวิกฤติรอบที่ 5 อย่างไร สุรชัยบอกแค่ว่า เตรียมการทุกอย่างไว้หมดแล้ว โดยเรียนรู้จากความล้มเหลวที่เคยผ่านมา เขาว่า เป็นเอสเอ็มอีต้องรู้จักปรับตัว และเรียนรู้ที่จะอยู่กับปัญหาให้ได้ สำหรับเขาแล้ว คนที่ล้มเหลวไม่ใช่เพราะไม่เก่ง เพียงแต่เผลอทิ้งความอดทน และความฝันไประหว่างทางเท่านั้น ซึ่งสองสิ่งนี้สำคัญมากสำหรับการขับเคลื่อนธุรกิจ และเราต้องนำมาใช้อยู่เสมอ

“สมัยเรียนครูจะสอนก่อน แล้วค่อยสอบ แต่ในชีวิตจริง เขาจะสอบเราก่อน แล้วค่อยสอน ฉะนั้นการล้มเหลว ไม่ได้น่ากลัวเลย เพราะเขากำลังสอนเราอยู่ แต่เราต้องเอาความล้มเหลวนั้นมาเป็นบทเรียน เหมือนที่ผมพูดเสมอว่า ครูที่ดีที่สุดก็คือ การล้มเหลวครั้งล่าสุดของเรานี่แหล่ะ”

เขาย้ำว่า ทำธุรกิจไม่มีฟลุ๊ค และทุกความสำเร็จมีที่มาที่ไปเสมอ โดยธุรกิจเริ่มต้นจากความคิด แต่ความสำเร็จเกิดจากการกระทำ ขณะการรับมือกับปัญหา “หัวใจต้องใหญ่กว่าอุปสรรค” และอย่าไปยึดติดกับปัญหาให้มากนัก เพราะความล้มเหลวในวันนี้ พรุ่งนี้ก็เป็นอดีตไปแล้ว จงเปลี่ยนความวิตกกังวลให้เป็นความสนุก คิดใหม่ เริ่มใหม่ ที่สำคัญต้องไม่ยึดติดกับเป้าหมายที่สำเร็จแล้ว ทว่าต้องต่อเติมเป้าหมายอยู่เสมอ เพื่อให้เป็นพลังสร้างความสำเร็จ “ซ้ำแล้วซ้ำอีก”

ขณะที่ทำธุรกิจ ไม่ได้มีแค่ “สำเร็จ” หรือ “ล้มเหลว” แต่คือการที่ เราอาจต้องล้มหลายๆ ครั้ง ล้มแล้วลุก ล้มแล้วเรียนรู้และปรับตัว จนกว่าจะไปถึงคำว่าสำเร็จอย่างที่ตั้งใจไว้ได้

ขอแค่ไม่ย่อท้อ หรือถอดใจไปเสียก่อน เพราะแม้แต่คนเคยล้มอย่างเขา ก็ยังประสบความสำเร็จมาแล้ว

......................

Key to success
สูตรเด็ด พิชิตธุรกิจพันล้าน

๐ โฟกัสที่ทางออก ไม่ใช่ปัญหา
๐ กล้าตัดแขนขา เพื่อรักษาชีวิต
๐ ธุรกิจสำเร็จจากการกระทำ
๐ หัวใจต้องใหญ่กว่าอุปสรรค
๐ หมั่นต่อเติมเป้าหมายอยู่เสมอ
๐ ล้มแล้วเรียนรู้ ปรับตัว และสู้จนสำเร็จ