'นพ.ประเวศ'ชี้สามเหลี่ยมเขยื้อนปท. ขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก

'นพ.ประเวศ'ชี้สามเหลี่ยมเขยื้อนปท. ขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก

"นพ.ประเวศ วะสี" ชี้ภาพสามเหลี่ยมเขยื้อนประเทศ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก "สมคิด"ระบุทำหน้าที่ไม่หวังผลทางการเมือง

เมื่อเวลา 12.30 น. เวทีสัมมนาเวทีจุดประกาย “สานพลังประชารัฐ เพื่อเศรษฐกิจฐานราก” เพื่อต้องการประกาศการขับเคลื่อยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากอย่างเป็นทางการ โดยนพ.ประเวศ วะสี ประธานคณะกรรมการมูลนิธิสัมมาชีพ และที่ปรึกษากรรมการการจัดงานฯ ได้กล่าวในการเสวนาภายใต้หัวข้อ “ยุทธศาสตร์สานพลังประชารัฐ เพื่อเศรษฐกิจฐานราก”ว่า งานในวันนี้เป็นการประกาศการรวมตัวเพื่อนำพาประเทศชาติหลุดพ้นจากปัญหาหลุมดำใหญ่ทั้ง 6 ด้าน ประกอบด้วย ด้านการเมือง เศรษฐิกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม ศีลธรรม และการพัฒนาคุณภาพคน ซึงปัญหาดังกล่าว ไม่มีองค์กรใดสามารถแก้ไขได้เพียงกำลังลำพัง ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของทุกภาคส่วน ที่จะร่วมมือกันนำพาให้ประเทศจากหลุมดำนี้ให้ได้

นพ.ประเวศ ได้กล่าวอีกว่าหัวใจหลักๆของการสร้างเศรษฐกิจฐานราก คือการสร้างสัมมาชีพเต็มพื้นที่ วิสาหกิจชุมชน ซึ่งจะต้องมี 3 ภาคส่วนร่วมมือกันสร้างทั้ง ภาคประชาชน ได้แก่ปัจเจกบุคคล ชุมชน กลุ่มชมรม มูลนิธิ เป็นต้น และยังต้องได้ความร่วมมือจากภาคเอกชน อย่างสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เป็นต้น และสุดท้ายก็ต้องได้รับความร่วมมือจากภาครัฐ ได้แก่รัฐบาล ระบบราชการ องค์กรอิสระของรัฐ องค์กรกครองส่วนท้องถิ่นและท้องที่ เป็นต้น ซึ่งได้เรียกแนวคิดความร่วมมือทั้ง 3 ด้าน ดังกล่าวว่า “สามเหลี่ยมเขยื้อนประเทศ”

อย่างไรก็ดี นพ.ประเวศได้กล่าวอีกว่า ถ้าหากเราโยงเศรษฐกิจชุมชน เข้ากับเศรษฐกิจรากฐานให้เกื้อกูลกัน จุดนี้จะเป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจระดับมหพภาคด้วย เพราะเมื่อประชาชนทั้งประเทศหายจน รากฐานยึดกันอย่างมั่นคง เศรษฐกิจของประเทศก็จะมั่นคงตาม

ด้านนายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้า ได้กล่าวในฐานะของตัวแทนภาคธุรกิจเอกชนว่า ที่ผ่านมาเศรษฐกิจบ้านเมืองไม่มีความมั่นคง ทำให้ภาคธุรกิจถดถอย ไม่สามารถแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านได้ ดังนั้นเราจึงได้มาร่วมช่วยกันดูและเรื่องของเศรษฐกิจฐานราก ให้เกิดความเข้มแข็ง และสามารถทำให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้อย่างมั่นคง ซึ่งทางภาคธุรกิจเอกชนได้มีการผลักดันให้บริษัทเอกชนต่างๆ เข้ามาดูแลโดยได้พัฒนาวิธีการผลิตของชาวบ้านให้มีมาตรฐานที่ดีขึ้น และยังได้มีการพัฒนาเรื่องตลาดการขาย ซึ่งในปัจจุบันนี้ได้มีเครือข่ายกระจายสินค้าทั่วประเทศ อย่างในร้านค้าสะดวกซื้อเป็นต้น โดยในส่วนนี้เองทางภาคเอกชนก็จะเข้ามามีส่วนร่วมช่วยมาดูแลด้วย

“ ทั้งนี้ ขอยกตัวอย่างของจำนวนผู้พิการที่มีอยู่ประมาณ 2% ของประชากรทั้งหมดของประเทศ ซึ่งท่านเหล่านี้ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ทางภาคเอกชนจึงได้เข้ามาทำการจ้างให้ทำงานในชุมชน โดยนโยบายดังกล่าวได้ผลการตอบรับดีมาก ซึ่งก็ต้องขอขอบคุณนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ที่ได้กำริให้จัดงานในวันนี้ขึ้น อย่างไรก็ดีในขณะนี้เราได้มีการปลูกจิตสำนึก ให้ภาคธุรกิจเอกชนต้องมีความเชื่อมโยงกับภาคสังคมประชาชน ซึ่งขอยืนยันว่าภาคธุรกิจเอกชนจะมีกการทำงานร่วมกับภาคส่วนอื่นๆ เหมือนกับภาพสามเหลี่ยมเขยื้อนประเทศไทย ” นายอิสระ

ทั้งนี้นายสมคิด ได้กล่าวในฐานะตัวแทนจากภาครัฐบาลว่า หากสังเกตดีๆเมื่อเช้า นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา มีสีหน้าที่แจ่มใสื่อท่านได้เห็นการแสดงบนเวทีที่กล่าวถึงความพร้อมของภาคประชาชนที่จะให้ความร่วมมือกับภาคประชาสังคม ผมคิดว่านี่คือสิ่งที่อยู่ในใจท่าน คือต้องการให้ประเทศไทยเป็นเหมือนในอย่างการแสดงบนเวที ไม่มีการทะเลาะแบ่งสีเสื้อ ซึ่งท่านนายกฯเองก็มีความมุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหาของประเทศ และมีความต้องการให้ประชาชนเข้าใจว่าทำไมตนต้องเข้ามาทำหน้าที่นี้ ทั้งๆที่ไม่ได้อยากจะมา แต่ถ้าวันนั้นไม่มีการเปลี่ยนแปลง บ้านเมืองก็จะไม่สงบ ซึ่งนายกฯมีความต้องการให้บ้านเมืองเกิดความสงบ ให้คนไทยได้คิดว่าเกิดอะไรขึ้นกับสังคมเรา ซึ่งท่านเองได้พยายามเต็มที่เพื่อบอกให้ทั่วโลกรู้ว่าประเทศไทยเป็นประชาธิปไตย ที่ไม่ใช่เพียงแค่การท่องจำ ซึ่งใครๆก็อยากให้มีการเลือกตั้งอย่างเร็วที่สุด แต่ท่านไม่อยากให้ประเทศกลับสู่วังวนปัญหาเดิม จึงได้ขอเวลาอยู่ต่อ เพื่อแก้ไขปัญหาประเทศ

นายสมคิด กล่าวอีกว่า ในวันนี้รัฐบาลระกาศเจตนารมณ์อย่างชัดเจนว่าจะต้องสร้างเศรษฐกิจรากฐานให้มั่นคง เพื่อให้เศรษฐกิจประเทศไทยยืนได้ด้วยสองขาของตัวเอง ซึ่งประกอบด้วยประชาชน และความสามารถในการผลิตของประเทศ ในฐานะของรัฐบาล ตนสามารถออกนโยบายได้ แต่ตนรู้ว่าถ้าภาครัฐพยายามครอบงำวงจรฐานล่าง ก็จะไม่ประสบความสำเร็จ ทั้งนี้เมื่อพิจารณาดีๆแล้วจะพบว่าทั้ง 3 ภาคส่วนนั้นล้วนมีจุดแข็งแตกต่างกันไป แต่ก็มีข้อจำกัด ซึ่งจุดมุ่งหมายก็คือว่า ทำอย่างไรให้ทั้ง 3 ภาคส่วนเชื่อมโยงกัน ซึ่งส่วนนี้ก็จะต้องมีกลไกที่ทำให้ทั้ง 3 ภาคส่วนมีความร่วมมือกันในการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก

“ เมื่อวันที่เราประกาศนโยบายพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก ได้มีนักวิเคราะห์ชาวต่างชาติ เขียนว่าการใช้นโยบายนี้ไม่ได้เป็นการช่วยเศรษฐกิจจริงๆ แต่การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่างหากที่ค่า GDP ถึงจะได้ก้าวกระโดด จึงขอฝากสื่อมวลชนบอกนักวิเคราะห์ท่านนั้นว่ากลับไปเรียนเสียใหม่ ท่านยังมีความรู้เรื่องสภาพสังคมไทยไม่พอ ” นายสมคิด กล่าว

อย่างไรก็ดีนายสมคิด กล่าวอีกว่า ตนและนายกรัฐมนตรีมีเวลาไม่มากในการดำเนินงาน ไม่ได้มีความคิดที่จะเล่นการเมืองในอนาคต ขอให้ไว้ใจว่าถ้าตนยังมีแรงอยู่จะทำให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจรากฐานให้ได้โดยปราศจากความคิดถึงอนาคตทางการเมือง ซึ่งอนาคตของตนที่มองเห็นก็คือภาพของตัวเองเล่นอยู่เล่นกับหลานๆอย่างมีความสุข เห็นสังคมมีความสามัคคี