SET INDEX รีบาวด์

SET INDEX รีบาวด์

สรุปสภาวะตลาดสหรัฐฯ และยุโรป (20 - 26 ส.ค. 2558) :

สัปดาห์ที่ผ่านมาตลาดหุ้นสหรัฐฯและยุโรปปรับตัวลงแรง โดย DJIA -6.1%, DAX -6.4%, CAC ฝรั่งเศส -7.8% และ FTSE -6.6% ปรับตัวลงในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นทั่วโลก ความกังวลว่าเศรษฐกิจโลกอาจชะลอตัว หลังจีนรายงาน PMI ภาคการผลิต เดือน ส.ค.ลดลงเหลือ 47.1 จุด ทำระดับต่ำสุดในรอบ 77 เดือน นอกจากนั้น PMI ภาคการผลิตของสหรัฐฯเดือน ส.ค.ที่ลดลงเหลือ 52.9 จุดทำระดับต่ำสุดตั้งแต่ ต.ค.2556 อีกทั้งการปรับตัวลงแรงของตลาดหุ้นจีน แม้ว่าจะมีการฟื้นตัวได้บ้างในช่วงปลายสัปดาห์เมื่อประธานเฟดสาขานิวยอร์กให้ความเห็นว่ามีโอกาสน้อยที่เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยในเดือน ก.ย. เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐฯยังมีความผันผวนและความเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลก 

สรุปสภาวะตลาดหุ้นจีน (20 - 26 ส.ค. 2558) : สัปดาห์ที่ผ่านมาตลาดหุ้นจีนปรับตัวลงแรงถึง 22.9% ปิดต่ำกว่าระดับ 3,000 จุดเป็นครั้งแรกในรอบ 8 เดือน แม้ว่ารัฐบาลจะมีการออกมาตรการเพื่อประคองตลาดหุ้นไม่ว่าจะเป็นการอนุมัติ ให้กองทุนบำเน็จบำนาญ ลงทุนในตลาดหุ้นได้ไม่เกิน 30% ของสินทรัพย์ รวมถึงการผ่อนคลายนโยบายการเงินด้วยการประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 5 นับตั้งแต่เดือนพ.ย. 2557 และ RRR อีก 50bps เป็น 18.0% แต่ไม่สามารถเรียกความเชื่อมั่นของนักลงทุนได้ นักลงทุนกังวลต่อเศรษฐกิจที่มีความเสี่ยงเติบโตได้ต่ำกว่าเป้าหมายที่ทางการตั้งไว้ รวมถึงความกังวลต่อการยกเลิกมาตรการเพื่อพยุงตลาดหุ้น

สรุปความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทยสัปดาห์ที่ผ่านมา (20 - 26 ส.ค. 2558) : SET INDEX ปรับตัวลงท่ามกลางบรรยากาศการลงทุนทั่วโลกที่เป็นไปอย่างเปราะบาง ความตึงเครียดของเหตุการณ์ระเบิดที่เกิดขึ้นหลายจุดทั่วโลก บวกกับความกังวลต่อเศรษฐกิจจีน SET INDEX ทดสอบ 1,294 จุดระหว่างสัปดาห์ก่อนเกิด Technical Rebound หุ้นที่เกี่ยวข้องกับ Domestic Play ฟื้นตัวแกร่ง หลังนโยบายด้านเศรษฐกิจภายใต้การนำทีม ดร. สมคิด ที่มีความชัดเจนมากขึ้น ปิดที่ระดับ 1,320.08 จุด ลดลง 59.04 จุด หรือ -4.28% ณ วันที่ 26 ส.ค.

สำหรับทิศทางตลาดหุ้นไทยสัปดาห์หน้า (28 ส.ค. – 3 ก.ย.2558) : MBKET คงน้ำหนักการลงทุนเป็น “กลาง” ต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่ 21 หลัง SET INDEX สามารถกลับมายืนเหนือ 1,340 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่หนาแน่นราว 4.5 หมื่นล้านบาท/วัน หลังสถานการณ์ต่างประเทศเริ่มทรงตัว ธนาคารกลางจีนออกมาตรการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบ ทั้งการลดอัตราดอกเบี้ย / RRR / การอัดฉีดเงินเข้าสู่ตลาดเงิน รวมถึงความเห็นของประธานเฟดสาขา Atlanta และ นิวยอร์ค ให้ความเห็นต่อการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟดในกลางเดือนก.ย. มีน้ำหนักน้อยลง

ขณะที่การปรับครม. โดยเฉพาะทีมเศรษฐกิจ นำโดย รองนายกฯ ดร. สมคิด เรียกความเชื่อมั่นจากภาคเอกชนทันทีที่รับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ พร้อมเตรียมเสนอมาตรการอัดฉีดสภาพคล่องให้กับผู้มีรายได้น้อย และเร่งผลักดันแผนการลงทุนขนาดใหญ่ที่ได้รับการพิจารณาและอนุมัติไปก่อนหน้านี้ ออกมาเป็นรูปธรรมในช่วง 4 เดือนจากนี้ไป กลายเป็นปัจจัยที่ทำให้ตลาดหุ้นไทยฟื้นตัว และช่วยลดความผันผวนในระยะสั้น

และหากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง WTI สามารถกลับมายืนเหนือ US$40/barrel ได้ เชื่อว่าจะทำให้ SET INDEX ในการฟื้นตัวรอบนี้ สามารถสร้างฐานที่บริเวณ 1,350 จุด +/- ได้อย่างแข็งแกร่ง หากมูลค่าการซื้อขายหนาแน่นต่อเนื่อง คาดว่าจะทำให้ภาพการลงทุนทางเทคนิคกลับมามีสัญญาณเป็นกลางถึงบวกอีกครั้ง
ดังนั้นในเชิงกลยุทธ์การลงทุน เราแนะนำ “นักลงทุนอาจพิจารณาขายทำกำไรบางส่วนบริเวณ 1,350-1,360 จุด เพื่อรอซื้อหุ้นเป้าหมายกลับ หากเกิดการย่อตัวระหว่างสัปดาห์” โดยยังคงเน้นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับ Domestic Play เกาะกระแสไปกับมาตรการเรียกความเชื่อมั่นจากทีมเศรษฐกิจของรัฐบาล

ปัจจัยสำคัญอื่นๆ ในสัปดาห์หน้า ได้แก่

1. ติดตามการเสนอมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายของกลุ่มผู้มีรายได้น้อย ของรมว.คลัง ต่อที่ประชุม ครม. วันที่ 1 ก.ย.

2. ติดตามตัวเลขเศรษฐกิจเดือนก.ค. ของไทย ซึ่ง ธปท. จะรายงานในวันที่ 31 ส.ค. โดยเฉพาะอย่างการใช้จ่ายของภาครัฐ และการบริโภค

3. ติดตามการประชุมธนาคารกลาง ECB วันที่ 3 ก.ย. ต่อมุมมองสถานการณ์ ณ ปัจจุบัน และแนวโน้มนโยบายการเงินจะส่งสัญญาณผ่อนคลายเพิ่มเติมอีกหรือไม่

4. ติดตามรายงาน Beige Book ของเฟด วันที่ 3 ก.ย. เพื่อประเมินภาพรวมเศรษฐกิจ 12 เขตของเฟด หลังเกิดความผันผวนในตลาดหุ้นทั่วโลก กลางเดือนส.ค.ที่ผ่านมา

5. ติดตามตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค – อัตราการว่างงาน ของอียู / GDP 2Q58 ของ อังกฤษ / ภาวะการจ้างงาน ของสหรัฐฯ / ดัชนี PMI ภาคการผลิต-บริการ ของจีน, อัตราเงินเฟ้อ และ ผลผลิตภาคอุตฯ ของญี่ปุ่น