'พลังงานทดแทน' สตอรี่ใหญ่ IFEC

'พลังงานทดแทน' สตอรี่ใหญ่ IFEC

'หมอวิชัย ถาวรวัฒนยงค์' หุ้นใหญ่ บมจ.อินเตอร์ ฟาร์อีสท์ วิศวการ โชว์แผนผลิตไฟฟ้าพลังงานทดแทนทุกประเภท เพื่อมุ่งหน้าสู่กำไรปีละ 1.2 พันล้านบ.

'นอมินีอดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 23'
เสียงร่ำลือนี้เกิดขึ้นทันทีที่ 'นายแพทย์วิชัย ถาวรวัฒนยงค์' แพทย์โรคหัวใจ โรงพยาบาลพระราม และพันธมิตร ควักเงิน 'หลักร้อยล้านบาท' ซื้อหุ้น บมจ.อินเตอร์ ฟาร์อีสท์ วิศวการ หรือ IFEC จำนวน 10% เมื่อปลายปี 2556 (ขึ้นแท่นอันดับ1) 

ในยุคที่ IFEC ตกอยู่ภายใต้การดูแลของผู้ถือหุ้นเดิม 'ณรงค์ เตชะไชยวงศ์' กิจการเป็นตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องถ่ายเอกสารให้แก่ บริษัท โคนิก้า มินอลต้า บิสสิเนส โซลูชันส์ (ประเทศไทย) จำกัด (KM BSA) ประเทศญี่ปุ่นภายใต้ชื่อ Konica Minolta แต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย คือ งานทำเงินหลัก

แต่เมื่อธุรกิจเดินทางเข้าสู่ Sunset Industry (อุตสาหกรรมตะวันตกดิน) 'หมอวิชัย' จึงถือโอกาสนำโมเดลใหม่ 'ผู้ผลิตกระแสไฟฟ้าด้วยพลังงานทดแทนทุกประเภท' ไปเสนอต่อ 'ณรงค์' เมื่อมีแนวทางเดียวกันจึงตัดสินใจจับมือเพื่อออกเดินทางสายใหม่

ประกอบกับในช่วงเดือนมี.ค.2557 สัญญาตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องถ่ายเอกสารระหว่างบริษัทกับ KM BSA สิ้นสุดลง บริษัทจึงจำหน่ายสินทรัพย์เกี่ยวกับธุรกิจให้เช่าเครื่องถ่ายเอกสารให้กับ KM BSA ในราคา 407.04 ล้านบาท และจำหน่ายอสังหาริมทรัพย์12 รายการ ให้กับบริษัท เอ็นเอ็นดี (ไทยแลนด์) จำกัด (NND) โดยเงินก้อนสุดท้ายจำนวน 66 ล้านบาท บริษัทเพิ่งได้รับเมื่อเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา

เมื่อยุทธศาสตร์การเติบโตครั้งใหม่ของ IFEC จำเป็นต้องใช้เงินลงทุนก้อนใหญ่ บริษัทจึงตัดสินใจขายหุ้นเพิ่มทุนให้นักลงทุนในวงจำกัด ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัท และเพื่อรองรับหลักทรัพย์แปลงสภาพจำนวน 968.50 บาท และเสนอขายให้นักลงทุนในวงจำกัด และผู้ถือหุ้นเดิมจำนวน 545.04 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท ทั้งนี้การเสนอขายหุ้นในครานั้น “นเรศ งามอภิชน” นักลงทุนรายใหญ่ ได้เข้าลงทุนด้วย ปัจจุบันถือหุ้น IFEC ประมาณ 3.45%

'แม้จะทำงานอยู่ในโรงพยาบาลประจำครอบครัวอดีตนายกฯ แต่ไม่ได้รู้จักกันเป็นการส่วนตัว ผมเติบโตมาจากตลาดสำเพ็ง ครอบครัวมีเงิน ไม่จำเป็นต้องขอเงินใคร' นายแพทย์ วิชัย ถาวรวัฒนยงค์ ประธานกรรมการบริษัทและประธานกรรมการบริหาร IFEC พูดติดตลกกับ 'กรุงเทพธุรกิจ Biz Week' 

ก่อนจะเล่าแผนธุรกิจของ IFEC 'คุณหมอวัย 50 ปี' ดีกรีแพทยศาสตร์บัณฑิต คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี และอายุรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจและหลอดเลือด คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี เล่าเส้นทางชีวิตของตัวเองให้ฟังว่า

หลังจบการศึกษาระดับปริญญาตรีในปี 2532 ก็เดินทางไปใช้ทุนการศึกษา 3 ปี ที่โรงพยาบาล เบตง จังหวัดยะลา ด้วยการนั่งทำงานในตำแหน่งรักษาการรองผู้อำนวยการฝ่ายเวชกรรมสังคม (นายแพทย์ 7) และแพทย์ทั่วไป สาเหตุที่เลือกทำงานที่นี่ เพราะอยากรู้ว่า สถานการณ์ในพื้นที่จริงเป็นเช่นไร 'รางวัลแพทย์ดีเด่น' คือ เครื่องหมายการันตีความขยันของหมอวิชัย

เมื่อทำงานใช้ทุนจนหมด ตัดสินใจกลับมาเรียนแพทย์เฉพาะทางต่อ จากนั้นในปี 2540 ก็มาทำงานเป็นแพทย์โรคหัวใจ โรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า ทำให้ได้ยศ 'เรือเอก' มาครอบครอง ผ่านมาถึงปี 2546 เพื่อนชวนมาตรวจที่โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ สุขาภิบาล 3 ก่อนจะโยกไปเป็นแพทย์โรคหัวใจประจำโรงพยาบาลพระราม 9 ในปี 2549 ปัจจุบันก็ยังตรวจคนไข้ที่โรงพยาบาลแห่งนี้

จุดเปลี่ยนจากนายแพทย์สู่เส้นทางนักธุรกิจเกิดขึ้นได้อย่างไร?

คุณหมอ เล่าว่า เมื่อก่อนทำงานหนักมาก เพราะรับจ๊อบตรวจคนไข้หลากหลายโรงพยาบาล เที่ยงคืนของวันหนึ่ง หลังทำงานพาร์ทไทม์มาตั้งแต่ 5 โมงเย็น ในโรงพยาบาลมหาชัย ผมขับรถกลับบ้านแล้วดัน ไปปาดหน้ารถสิบล้อ เขาคงโกรธมากขับรถไล่บี้ เชื่อหรือไม่!! ถ้าหลบไม่ทันคงตายไปแล้ว
ชีวิตรอดตายในครานั้น ทำให้กลับมานั่งคิดว่า ถ้าเราเป็นอะไรไปภรรยาจะอยู่อย่างไร ตอนนั้นยังไม่มีลูก ทำให้เริ่มหันมาศึกษาการทำธุรกิจอย่างจริงจัง ด้วยการอ่านหนังสือเกี่ยวกับการจัดการ ซึ่งเป็นหนังสือที่ชอบอ่านมาตั้งแต่สมัยเรียน เมื่อ 8 ปีก่อน ผมเคยมีประสบการณ์เกี่ยวการทำธุรกิจมาบ้าง ด้วยการลงทุนร่วมกับคนรู้จัก เพื่อจำหน่ายปุ๋ยประเภทหนึ่ง ช่วงแรกสามารถขายได้ล็อตใหญ่ แต่หลังจากนั้นถูกผู้ร่วมงานหักหลัง

แม้จะไม่ประสบความสำเร็จ แต่ไม่เข็ด ตัดสินใจหันมาดำเนินธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง แต่งานนี้ก็สร้างความเจ็บปวดให้ชีวิตอีกครั้ง เพราะโดนบริษัทจดทะเบียนที่ดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชื่อดังแห่งหนึ่ง โกงเงินจำนวน 5 ล้านบาท เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อ 10 ปีก่อน ที่ผ่านมาได้เข้าไปคุยกับเจ้าของบริษัทตลอด แต่เขาก็ไม่ยอมจ่าย สุดท้ายจำเป็นต้องหยุดทำธุรกิจนี้ หลังทำมานานถึง 6 ปี เพราะมีความรู้สึกว่า งานนี้ไม่เหมาะกับจริตของเรา

'คุณหมอนักธุรกิจ' เล่าต่อว่า เหนื่อยจากธุรกิจก่อสร้างไม่นานเกิดความคิดใหม่ที่ว่า อยากลงทุนสร้างโรงพยาบาลผู้สูงอายุ เพราะอีก 10 ปีข้างหน้า เมืองไทยจะเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ (Aged society) ทุกวันนี้ยังคงเป็นโปรเจคในฝันอยู่ (หัวเราะ) ซึ่งความคิดนี้เกิดขึ้นพร้อมกับโปรเจคพลังงานสะอาด โดยเฉพาะพลังงานแสงอาทิตย์

หลังพบว่า ปัจจุบันสิ่งแวดล้อมโลกกำลังเปลี่ยนแปลงไป พลังงานกำลังเป็นที่ต้องการมากขึ้น ซึ่งพลังงานสะอาดน่าจะตอบโจทย์มากที่สุด แต่เนื่องจากธุรกิจนี้ต้องใช้เงินลงทุนสูงมากเฉลี่ย 140 ล้านบาทต่อ 1 เมกะวัตต์ ฉะนั้นหากให้เริ่มลงทุนทำเองดูจะเกินตัวไปหน่อย

ดังนั้นจึงออกตามหาความรู้ ด้วยการศึกษางบการเงินควบคู่กับการลงทุนในตลาดหุ้น ช่วงนั้นเสียค่าเรียนเรื่องเทรดหุ้นไปหลายล้าน (หัวเราะ) จริงๆ ผมสนใจการลงทุนในตลาดหุ้นมาตั้งแต่ในปี 2545 ตอนนั้นนิยมเล่นหุ้นเดย์เทรด แต่เล่นสั้นทำให้กลายเป็นคนใจร้อน และต้องเฝ้าหน้าจอทุกวัน ดูไม่ค่อยเหมาะกับอาชีพหมอเท่าไร เดี๋ยวไม่มีสมาธิตรวจคนไข้ จึงตัดสินใจเปลี่ยนแนวการลงทุนมาเป็นถือลงทุนระยะกลางและยาว หลังเล่นระยะสั้นมา 1 ปีกว่า

'200 เมกะวัตต์ เป้าหมายพลังงานแดด'

เขา เล่าต่อว่า มีโอกาสเข้าไปคุยกับเจ้าของเดิม 'ณรงค์ เตชะไชยวงศ์' ผ่านคนรู้จักคนหนึ่ง จริงๆ ผมไม่มีความรู้เรื่องเกี่ยวกับพลังงานสะอาด แต่บังเอิญรู้จักคนที่มีความรู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี ซึ่งเขาจะมาช่วยเราทำงาน หนึ่งในนั้น คือ 'ดร.สุเมธ สุทธภักติ' บุตรบุญธรรม รัฐมนตรีอาวุโส ประเทศบังกลาเทศ ซึ่งแกจะมาดูแลเรื่องโรงไฟฟ้าพลังงานลมเป็นหลัก

ปัจจุบันผมถือหุ้น IFEC ประมาณ 8% ซึ่งสัดส่วนลดลง ตามการขายหุ้นเพิ่มทุน 2 ล็อตที่ผ่านมา ตอนนั้นบริษัทได้เงินเพิ่มทุนมาประมาณพันกว่าล้าน เพราะเราต้องการนำเงินไปเทคโอเวอร์กิจการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ถือเป็นวิธีการสร้างกระแสเงินสดที่รวดเร็วที่สุด

ช่วงนั้น IFEC วางแผนเรื่อง 'โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์' ว่า ต้องมีกำลังการผลิต 20-40 เมกะวัตต์ ปัจจุบันเรามีกำลังการผลิตแล้ว 17 เมกะวัตต์ คิดเป็น 11 โครงการ ตามแผนสิ้นปี 2558 ต้องมีกำลังการผลิตแตะระดับ 200 เมกะวัตต์ เร็วๆนี้ เราจะมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีก 4 เมกะวัตต์ จาก 4 โครงการ

แบ่งเป็นโรงไฟฟ้าในจังหวัดลำปาง จังหวัดกาญจบุรี และจังหวะดอุดรธานี 2 โครงการ รวมถึงยังจะมีกำลังการผลิตไฟฟ้าแสงอาทิตย์ 20 เมกะวัตต์ จากประเทศกัมพูชา ขณะเดียวกันบริษัทเชื่อว่า จะสามารถชนะประมูลสัมปทานไฟฟ้ารอบใหม่ที่รัฐบาลจะเปิดยื่นซองสิ้นปีนี้อย่างน้อย 100-200 เมกวัตต์

'3 ปี 3 พันเมกะวัตต์ โจทย์พลังงานลม'

สำหรับ 'โรงไฟฟ้าพลังงามลม' ตอนนี้บริษัทมีอยู่ในมือ 3 โครงการ คือ โครงการทุ่งกันหันลมเลียบชายฝั่งปากพนัง เฟส 1 กำลังการผลิต 10 เมกะวัตต์ คาดว่าจะเดินเครื่องในเดือนต.ค.นี้ โครงการทุ่งกังหันลมเลียบชายฝั่งปากพนัง เฟส 2 กำลังการผลิต 8.965 เมกะวัตต์ จะเดินเครื่องเดือนธ.ค.นี้ และโครงการลมปัตตานี กำลังการผลิต 4.8 เมกะวัตต์ จะเดินเครื่องผลิตได้ภายในเดือนก.ย.นี้

นอกจากนั้นเรายังมีแผนจะพัฒนาพลังงานลมอีก 3 โครงการ คือ โครงการเกาะใหญ่วินด์ฟาร์ม กำลังการผลิต 90 เมกะวัตต์ โครงการเกาะใหญ่วินด์ฟาร์ม กำลังการผลิต 90 เมกะวัตต์ โครงการลมเลย 90 เมกะวัตต์ และโครงการลมมุกดา กำลังการผลิต 45 เมกะวัตต์ รวม 248.765 เมกะวัตต์ ปัจจุบันกำลังรอดูความชัดเจนของรัฐบาล

'3 ปี 3 พันเมกะวัตต์ คือ แผนพลังงานลม แต่ศักยภาพของเราทำได้มากกว่านั้น ตามแผนตั้งแต่ปี 2559-2562 เราอยากเห็นกำลังการผลิตพลังงานมลมเพิ่มขึ้นทุกปี แบ่งเป็น 435 เมกะวัตต์ 510 เมกะวัตต์ 685 เมกะวัตต์ เป็นต้น”

ทั้งนี้เราจะไม่ทำโครงการเพียงแต่ในประเทศเท่านั้น ปัจจุบันยังออกไปทำงานนอกบ้านด้วย ตามแผน 5 ปีข้างหน้า บริษัทตั้งใจจะเข้าไปทำโครงการในประเทศเกาหลี จีน ญี่ปุ่น บังคาลาเทศ ศรีลังกา และฮาวาย เป็นต้น

ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา เราได้เซ็นสัญญา MOU ศึกษาการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงามลมนอกชายฝั่งประเทศเกาหลี กำลังการผลิต 200 เมกะวัตต์ไปแล้ว สิ้นปีนี้คงจะรู้ว่า ผลการศึกษาเป็นอย่างไร ขณะเดียวกันยังเซ็นสัญญา MOU กับประเทศสปป.ลาว โดยเราจะเข้าไปตั้งเสาวัดลมให้เขา โครงการดังกล่าวมีกำลังการผลิต 200 เมกะวัตต์

'บริษัท โกลด์วิน (Goldwind) ซึ่งเป็นผู้ผลิตกังหันลมชั้นนำของจีน แสดงความสนใจจะเข้ามามาถือหุ้นในบริษัท ไอวินด์ จำกัด บริษัทย่อยที่ดำเนินพลังงานลมของ IFEC' 

ปัจจุบันในอุตสาหกรรมมีบริษัททำพลังงานลมเพียง 3 แห่ง คือ บริษัท วินด์ เอ็นเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง หรือ WEH บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ หรือ EA บมจ.กันกุล เอ็นจิเนียริ่ง: GUNKUL และ IFEC ซึ่งอัตรากำไรขั้นต้นของพลังงานแต่ละประเภทไม่ได้มีความแตกต่างกันมากนัก เพราะนโยบายการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed-in Tariff มีความใกล้เคียงกัน อย่างพลังงานชีวมวลเดิมเคยรับซื้อ 0.3 บาท เปลี่ยนเป็น 4.50 บาท แสงอาทิตย์ 12 บาท เหลือ 5.66 ขยะจาก 7 บาท (7 ปี) เป็น 6.50 บาท (10 ปี) และลม 7 บาท เป็น 6.06 บาท

'หุ้นใหญ่' เล่าต่อว่า ปัจจุบันเรามี 'โรงไฟฟ้าชีวมวล' หรือไบโอแมส กำลังการผลิต 6.8 เมกะวัตต์ จำนวน 1 โครงการ ซึ่งตั้งอยู่ในจังหวัดลพบุรี เป้าหมาย คือ อยากมีกำลังการผลิตแตะระดับ 20-30 เมกะวัตต์ เฉลี่ยโครงการละ 5 เมกะวัตต์ ซึ่งเราตั้งใจจะจับมือกับพันธมิตรที่เป็นคนใต้ เพื่อร่วมกันประมูลโครงการของภาครัฐ ซึ่งพันธมิตรรายนี้มีวัตถุดิบตั้งต้น (Feed stocks)

สำหรับ 'โรงไฟฟ้าพลังงานขยะ' วันนี้เรามีเพียง 1 โครงการ ซึ่งอยู่ในจังหวัดชลบุรี กำลังการผลิต 5 เมกะวัตต์ แต่ล่าสุดบริษัท รุ้งเอกรยา เอ็นจิเนียริ่ง (สระแก้ว) จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือที่ IFEC เพิ่งเข้าไปลงทุน เมื่อเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา และเป็นเจ้าของโรงไฟฟ้าพลังงานขยะ จังหวัดสระแก้ว กำลังการผลิต 6 เมกะวัตต์ จำนวน 1 โครงการ ได้รับบัตรส่งเสริมการลงทุน BOI เรียบร้อยแล้ว อย่างไรก็ดีโรงไฟฟ้าทั้งสองแห่งอาจใช้เงินลงทุนประมาณ 100-150 ล้านบาท ต่อ 1 เมกะวัตต์ คาดว่าจะเริ่มผลิตไฟฟ้าได้ภายในปี 2559

ตอนนี้ผู้ร่วมงานอยากให้ IFEC ติดตั้ง “เทคโนโลยีพลาสมาก๊าซซิฟิเคชั่น” ในโรงไฟฟ้าพลังงานขยะ จังหวัดสระแก้ว เพราะระบบดังกล่าวจะให้ค่าความร้อนสูงถึง 1,600-2,000 องศา ฉะนั้นจะทำให้สามารถเผาขยะได้หลากหลายประเภท แต่หากนำระบบนี้มาเผาขยะชุนชมจะไม่คุ้มค่า เนื่องจากระบบนี้ใช้เงินลงทุนสูงถึง 1 พันล้านบาทต่อ 1 เมกะวัตต์

นั่นหมายความว่า ถ้านำระบบนี้มาติดตั้งในโรงไฟฟ้าพลังงานขยะ จังหวัดสระแก้ว บริษัทจะต้องใช้เงินสูงถึง 6 พันล้านบาท ฉะนั้นต้องศึกษาการลงทุนให้ดีๆ แม้ว่าตอนนี้จะมีนักลงทุนจากเมืองจีนเสนอตัวเข้าร่วมลงทุนในโครงการดังกล่าว ซึ่งเขามาพร้อมเงิน 6 พันล้านบาท แต่บริษัทต้องการรอดูก่อนว่า จะสามารถดีลขยะอุตสาหกรรมมาดำเนินการได้หรือไม่ ถ้าทำได้ก็คุ้มค่าต่อการลงทุน ตอนนี้อยู่ระหว่างการเจรจากับเจ้าของนิคมอุตสาหกรรม เราจะพยายามทำให้จบภายในไตรมาส 4 ปี 2558

'ในอนาคตอยากเห็นพลังงานขยะเพิ่มขึ้นอีก 5-6 เมกะวัตต์ต่อจังหวัด ตอนนี้อยู่ระหว่างกำลังศึกษา ส่วนโครงการต่างประเทศ ตั้งเป้าหมายไว้ว่า ต้องมีกำลังการผลิตโรงไฟฟ้าขยะในกรุงพนมเปญ 100 เมกะวัตต์ วันนี้มีแล้ว 20 เมกะวัตต์ บนพื้นที่ 300 ไร่ แต่เนื่องจากราคาที่ดินขึ้นตลอด ทำให้ต้องศึกษาดีๆก่อนตัดสินใจ' 

'หมอวิชัย' ทิ้งท้ายว่า วันนี้เรามีไอเดียใหม่ โดยจะนำระบบซอฟต์แวร์เข้ามาจัดการธุรกิจพลังงาน หรือธุรกิจอื่นๆ วิธีการ คือ เดินหน้าประมูลงานภาครัฐ วันนี้มีโปรเจคยักษ์ในมือแล้ว 2-3 โครงการ งานประเภทนี้มี 'อัตรากำรขั้นต้นดีมาก' เพราะยังไม่มีใครทำ เรื่องนี้ขอเก็บรายละเอียดไว้เป็นความลับก่อน

'IFEC อยากมีกำไรเดือนละ 100 ล้านบาท เฉลี่ยปีละ 1.2 พันล้านบาท นั่นเป็น เป้าหมายของเรา ผมอยากบอกนักลงทุนว่า เรากำลังทำฝันให้เป็นจริง แม้วันนี้ผมจะถือหุ้น 8% (ลดลงจากการเพิ่มทุน) แต่อนาคตมีแผนจะเก็บเพิ่มเป็น 20% ระหว่างทางถ้ามีคนมาซื้อหุ้นจนขึ้นแท่นเบอร์หนึ่งแล้วมีแนวทางเหมือนกัน ผมยินดีจับมือทำงานต่อ แต่ถ้าไม่ผมคงต้องหลีกทาง'