กินแต่ส้มตำทำไมยังอ้วน

กินแต่ส้มตำทำไมยังอ้วน

ส้มตำ ยำ นับเป็นเมนูอาหารลดน้ำหนักยอดฮิตของนักลดน้ำหนักมืออาชีพ แต่สังเกตหรือไม่ว่าบางท่านกินเป็นประจำ ตัวกลับยิ่งบวมฉุมากกว่าเดิม

ส้มตำ ยำ นับเป็นเมนูอาหารลดน้ำหนักยอดฮิตของนักลดน้ำหนักมืออาชีพ เรามักได้ยินคำแนะนำว่า ถ้าอยากผอมเร็วๆ โดยไม่อันตราย ไม่ต้องพึ่งพายาลดความอ้วน ให้กินส้มตา ยำ โดยเฉพาะในมื้อเย็น มื้อดึก ถ้าเป็นส้มตำ กินเข้าไปเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน

แต่สังเกตหรือไม่ว่าบางท่านกินส้มตำ ยำวุ้นเส้นกับผักต่างๆ เป็นประจำต่อเนื่อง นอกจากจะไม่ผอมลงแล้ว ตัวกลับยิ่งบวมฉุมากกว่าเดิม และมีโรคแถมมาด้วยคือผมร่วง ผิวไม่ผ่องใส ไม่ค่อยมีกล้ามเนื้อ ที่ว่ามาทั้งหมด

ที่จริงแล้วไม่ใช่ความผิดของส้มตำ หรือ ยำ แต่เป็นเพราะ “โซเดียม” จากเครื่องปรุงรสทั้งหลายที่เราได้รับมากเกินไปต่างหาก

โซเดียมมาจากไหน กินเท่าไหร่ถึงจะดี?

พูดให้เข้าใจง่ายๆ “โซเดียมก็คือเกลือ” ชนิดหนึ่ง ถึงแม้ร่างกายจะขาดไม่ได้ แต่ไม่ควรได้รับเกินวันละประมาณ 1 ช้อนชาตามปริมาณสูงสุดที่องค์การอนามัยโลกแนะนำ ตามปกติในอาหารธรรมชาติอย่างผัก-ผลไม้และเนื้อสัตว์มีโซเดียมอยู่แล้ว หากเรากินอาหารครบทั้ง 3 มื้อ ถึงแม้เราจะกินอาหารประเภทผัก-ผลไม้หรือเนื้อสัตว์โดยไม่ผ่านการปรุงรส ก็ได้รับโซเดียมในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย


แต่ด้วยวิถีการกินอยู่ของคนสมัยนี้ คงจะหลีกเลี่ยงการได้รับโซเดียมเกินความต้องการของร่างกายได้ยาก เนื่องจากอาหารที่มีขายตามท้องตลาด อาหารแช่แข็งตามร้านสะดวกซื้อ ห้างสรรพสินค้า ที่เรานิยมกินกันเพราะสะดวกสบายหากินง่าย ล้วนมีโซเดียมแอบแฝงอยู่ ถึงแม้ว่าจะมีรสเค็มน้อยมาก หรือไม่มีรสเค็มเลยก็ตาม


"โซเดียมคือเกลือ” เมื่อพูดถึงเกลือ เรามักนึกถึงอาหารรสเค็ม อย่างน้ำปลา ซีอิ๊ว หากเป็นขนม เราก็มักนึกถึงขนมขบเคี้ยวบรรจุซอง แต่ที่จริงแล้วเรามักได้รับโซเดียมแอบแฝงโดยไม่รู้ตัวจากอาหารแทบทุกชนิด เช่น
- อาหารสำเร็จรูป อาหารแช่แข็ง อาหารกระป๋องรวมถึงผลไม้กระป๋อง อาหารเหล่านี้จะมีโซเดียมในปริมาณสูงเกินความจำเป็นของร่างกาย
- บะหมี่ โจ๊ก ข้าวต้มกึ่งสำเร็จรูป ซุปก้อน ซุปผง
- เครื่องปรุงรสชนิดต่างๆ ที่ถึงแม้จะไม่ออกรสเค็ม อย่างเช่น ซอสมะเขือเทศ น้ำจิ้มต่างๆ ที่มีรสเปรี้ยวหวาน
- อาหารที่แปรรูปเพื่อการเก็บรักษาด้วยการหมักดอง เช่น ปลาร้า ปูเค็ม ปลาเค็ม ผักดอง
- ขนมเบเกอรี่ต่างๆ ที่มีส่วนผสมของเบกกิ้งโซดา หรือ ผงฟู อย่างเช่น ขนมเค้ก คุ้กกี้ แพนเค้ก
- น้ำหวาน น้ำผลไม้บรรจุกล่อง น้ำอัดลม เครื่องดื่มกระตุ้นพลังงาน เพิ่มความสดชื่นต่างๆ ก็ล้วนแล้วแต่มีโซเดียมเป็นส่วนผสมเช่นกัน

นอกจากอาการอ้วนฉุแบบบวมน้ำแล้ว การได้รับโซเดียมมากเกินไปยังเป็นสาเหตุของโรคภัยไข้เจ็บอีกหลายโรค เช่น
- ไตเสื่อม เนื่องจาก ไต เป็นอวัยวะหลักที่รับหน้าที่ขับโซเดียมส่วนเกินออกจากร่างกาย รองลงมาคือทางอุจจาระและเหงื่อ หากได้รับโซเดียมเกินเป็นประจำย่อมเป็นภาระหนักเกินกำลังของไตเป็นด่านแรก
- ความดันโลหิตสูง เมื่อได้รับโซเดียมมากเกินพอดี ร่างกายจะกักเก็บน้ำมากขึ้นเพื่อเจือจางของเหลวในร่างกายให้อยู่ในระดับที่สมดุล ปริมาณน้ำในหลอดเลือดก็จะเพิ่มขึ้น ส่งผลให้เกิดภาวะความดันสูงในหลอดเลือด นับเป็นสาเหตุหนึ่งที่ก่อให้เกิดปัจจัยเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจและโรคหลอดเลือดสมอง เช่น เส้นเลือดแตก ตีบ อุดตัน ตามมา
- อาการบวมน้ำ จากการการคั่งของน้ำและเกลือ หากเกิดการคั่งมากๆ จะเกิดภาวะน้ำล้นออกมานอกหลอดเลือดทำให้เกิดอาการบวม โดยเฉพาะบริเวณเท้า เอ็นร้อยหวาย นิ้วมือ

นอกจากนี้ยังมีผลการศึกษาที่ระบุว่า คนที่ชอบกินรสเค็มหรือรสจัดมากเกินไป จะมีพฤติกรรมชอบกินของหวานและเครื่องดื่มหวานๆ มากกว่าคนปกติ เนื่องจากเมื่อได้รับโซเดียมมากเกินต้องการ ร่างกายจะมีความเข้มข้นของของเหลวในร่างกายมากขึ้น จนเกิดภาวะขาดน้ำ กระหายน้ำเพราะร่างกายต้องการน้ำเพิ่มขึ้น เพื่อไปลดระดับความเข้มข้นของของเหลวภายใน
เครื่องดื่มที่คนชอบรสเค็มเลือกส่วนใหญ่เป็นเครื่องดื่มที่มีรสหวาน ยิ่งทำให้เลือดข้นหนืด มีน้ำตาลในเซลล์มากเกินพอดี จนเสี่ยงเป็นโรคอ้วนและเบาหวานเพิ่มขึ้นไปอีก

จุดสังเกตว่าร่างกายของเรารับน้ำตาลหรือเกลือมากเกินความจำเป็นจนทำให้ไตทำงานหนัก
1. ใต้ตาของเรา - ถ้าหากเป็นถุงน้ำค่อนข้างคล้ำไม่ว่าจะนอนเร็วนอนช้า ก็ยังบวมตุ่ย บางท่านบวมลงมาสองสามชั้นก็มี ทำให้หน้าตาดูแก่เกินวัย หายามาทาถุงใต้ตาบวมลักษณะนี้อย่างไรก็ไม่หาย เพราะเป็นสัญญาณเตือนว่าไตกำลังทำงานค่อนข้างหนัก
2. ผิวพรรณหมองคล้ำลง ไม่ค่อยผ่องใส - เพราะไต กระเพาะปัสสาวะต้องเสียเวลาขับเกลือและน้ำตาลออกตลอดเวลา จนเลือดมีของเสียตกค้างมากขึ้นทุกวัน
ใครต้องการกินส้มตำหรือยำ เพื่อลดน้ำหนัก สามารถทำได้และลดได้จริง แต่ควรเป็นส้มตำที่ปรุงรสอย่างอ่อน ลดหรือหลีกเลี่ยงการปรุงด้วยน้ำปลาร้า ปูเค็ม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผงชูรส เพราะนอกจากไม่ช่วยให้ผอม ยังทำให้อ้วนแบบบวมน้ำและส่งผลเสียต่อสุขภาพด้านอื่นอีกด้วย

*บทความกินแต่ส้มตำทำไมยังอ้วน เผยแพร่ใน นสพ.กรุงเทพธุรกิจกายใจ ฉบับวันอาทิตย์ที่ 5 กรกฎาคม 2558 โดยหมอนัท ดิ อโรคยา  คลินิกการแพทย์แผนไทย ใช้หลักการแพทย์แผนไทย การแพทย์แผนจีน และอายุรเวทเป็นรากฐาน โทร.0 2358 0050