ตายายเก็บเห็ดพ้นคุก ยังแร้นแค้นขยาดป่าไม่เข้าใกล้

ตายายเก็บเห็ดพ้นคุก ยังแร้นแค้นขยาดป่าไม่เข้าใกล้

เผยตายายเก็บเห็ดพ้นคุก ยังแร้นแค้นขยาดป่าไม่เข้าใกล้

ผู้สื่อข่าวได้ประสานไปยังนายบุญช่วย น้อยเสนา ส.อบจ.เขต 2 อ.ห้วยเม็ก จ.กาฬสินธุ์ และนายบุญยัง ภูเฉิดสาย ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน หมู่ 4 บ้านหนองกุงไทย ต.โนนสะอาด อ.ห้วยเม็ก จ.กาฬสินธุ์ เพื่อเข้าไปติดตามชีวิตความเป็นอยู่ของนายอุดม ศิริสอน ปัจจุบัน อายุ53 ปี และนางแดงศิริสอน อายุ50 ปี สองสามีภรรยาที่ถูกเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองและเจ้าหน้าที่ป่าไม้จับกุมระหว่างไปเก็บเห็ดที่บริเวณป่าสงวนแห่งชาติดงระแนงเขต อ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์ ซึ่งต้องติดคุกนานถึง 1 ปี 8 เดือน กับชีวิตหลังพ้นโทษออกจากมาจากเรือนจำ จ.กาฬสินธุ์ เมื่อวันที่ 9 ม.ค. 57เป็นเวลา 1 ปี กับอีก 5 เดือน ชีวิตความเป็นอยู่ยังยากลำบากไม่มีรายได้และไม่มีอาชีพด้วยสภาพร่างกายที่ทรุดโทรมและแก่ชรามากขึ้น


นายอุดม ศิริสอน หรือตาเรียน บอกว่าชีวิตตอนนี้แย่กว่าเดิม ก่อนถูกจับติดคุกประสบอุบัติเหตุถูกรถยนต์ชนจนมีอาการเลือดออกทางสมองกระดูกไหปลาร้าฉีกและส่วนอื่นๆ ยังไม่หายเป็นปกติแต่ต้องไปอยู่ในคุก ในเรื่องของการรักษาตัวก็ลำบาก เพราะไม่ได้รับการรักษาต่อเนื่องได้กินยาบ้างไม่ได้กินบ้างสภาพร่างกายตอนนี้หูก็ไม่ได้ยินถนัดเดินเหินก็ไม่สะดวก เพราะขาแข้งมีปัญหาเหนื่อยง่าย


“ชีวิตตอนนี้ไม่มีอาชีพทำกินก่อนเคยรับเหมายกบ้านแต่ตอนนี้ร่างกายและสุขภาพไม่ไหวก็ต้องเลิกไปจะไปเก็บเห็ดเก็บฟืนเหมือนแต่เดิมก็ไม่กล้า เพราะกลัวว่าจะถูกจับอีกตั้งแต่ครั้งนั้นก็ไม่กล้าเข้าไปใกล้ป่าสงวนอีกเลยกลัวจริงๆ ที่พอมีอยู่มีกินก็อาศัยครอบครัวของน้องสาวภรรยาหาข้าวหาน้ำมาให้กินพาไปหาหมอมีหลานชายส่งเงินมาให้ใช้บ้างแต่ชีวิตก็ลำบากมาก หนี้สินเมื่อครั้งที่เจ็บป่วยและติดคุกก็พอกพูนขึ้นเรื่อยๆ สิ่งที่ต้องการตอนนี้ก็เพียงอยากให้ทุก ๆ คนเห็นใจและช่วยเหลือในเวลานี้โดยเฉพาะเรื่องคดีในการเรียกร้องค่าชดเชย” นายอุดม กล่าว


นายเกษมศรี ภูธร น้องเขยผู้ดูแล กล่าวว่าหนี้สินที่มีตอนนี้เป็นหนี้จากการกู้ยืม ธกส. มาตั้งแต่เมื่อพี่เขยประสบอุบัติเหตุโดยกู้ในนามพี่สาวและเมื่อถูกจับก็ต้องกู้อีกครั้งโดยตนเองเป็นผู้กู้เพื่อมาเป็นค่าต่อสู้คดี ค่าเดินทางต่าง ๆ รวมถึงค่ายารักษาตัวที่จะต้องซื้อยาไปส่งทุกๆ เดือนเมื่อครั้งที่ติดคุกตอนนี้หนี้สินเป็นเงินต้นกว่า 100,000บาทและก็มีดอกเบี้ยที่ต้องชำระอีก


“ตอนนี้ฉันและภรรยาต้องมาดูแลครอบครัวพี่สาวและพี่เขย ไม่ใช่เป็นภาระแต่เป็นสิ่งที่ปล่อยทิ้งไม่ได้เขาทั้งสองคนไม่มีใครดูแลไม่มีลูก เงินที่ได้ก็มาจากลูกชายของฉันที่รักลุงและป้าเสมือนพ่อแม่แท้ ๆ ส่งเงินมาให้ใช้ทรัพย์สินที่มีก็เหลือแต่ที่นา 2-3 ไร่และบ้านที่อาศัยในปัจจุบันเท่านั้นถามว่าลำบากมากไหมลำบากมากตั้งแต่ก่อนเข้าคุกเพราะประสบอุบัติเหตุและมาติดคุกรถราก็ต้องเช่าต้องเหมาไปเยี่ยมในยามเอายาเอาอาหารไปส่งหมดเงินไปเยอะ อาชีพก็ทำนาปีละครั้ง หลังจากนั้นก็รับจ้างไปวัน ๆ มีอะไรก็แบ่งกันกินสองครอบครัวก็ดูแลกันมาอย่างนี้ บางวันเพื่อนบ้านมีกับข้าวเยอะก็มาแบ่งให้บ้างเป็นน้ำใจที่เขาสงสารพวกเรา”นายเกษม กล่าว


นายบุญช่วย น้อยเสนา ส.อบจ.กาฬสินธุ์ ยังได้นำเอาผ้าห่มและร่มกันแดดกันฝน ไปมอบให้เพื่อช่วยเหลือเบื้องต้นและกล่าวว่าสำหรับครอบครัวนี้เท่าที่ทราบจากผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านขณะนี้ยังมีความลำบากมากเพราะทั้งสองไม่มีอาชีพทำกินนอกจากนี้จากการสอบถามยังทราบว่ามีอาการหูตึงซึ่งก็จะพาไปลงทะเบียนคนพิการเพื่อให้ได้รับเบี้ยผู้พิการที่จะช่วยเหลือในด้านความเป็นอยู่อีกด้านหนึ่งรวมทั้งการติดตามความคืบหน้าของคดี เพราะสองตายายยังรอความช่วยเหลืออยู่


“เบื้องต้นก็จะพาไปร้องขอความช่วยเหลือที่สำนักงานยุติธรรม จ.กาฬสินธุ์ อีกทางหนึ่งที่จะเป็นการเร่งรัดให้ครอบครัวได้ผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ขณะที่ชาวบ้านในหมู่บ้านนี้ก็ขยาด ไม่กล้าเข้าใกล้ป่าดงระแนงเพื่อไปหาเก็บของป่าเพื่อดำรงชีวิตเหมือนเช่นก่อน ๆ จากตัวอย่างที่เกิดขึ้นทำให้ชาวบ้านไม่กล้าโดยเฉพาะเมื่อพูดถึงป่าดงระแนง ทุกคนจะส่ายหน้าไม่ขอเข้าไปยุ่งเกี่ยว ไม่ว่าจะเป็นกรณีใดๆอย่างไรก็ตามในเรื่องของคดีความหรือการเรียกร้องค่าชดเชยต่าง ๆ คงจะต้องอาศัยผู้ที่เกี่ยวข้องตั้งแต่เบื้องต้นช่วยติดตามความคืบหน้าให้เพื่อที่จะได้มาเป็นทุนรักษาร่างกายที่เจ็บป่วยและก็อยากจะร้องขอไปถึงผู้ใจบุญทั้งหลายได้เมตตาและให้ความช่วยเหลือครอบครัวนี้ด้วย” ส.อบจ.บุญช่วย กล่าว