ศาลไม่รับฎีกาคดี 'ร.ต.อ.เจษฎา' ยิงนายทหารเรือปี53

ศาลไม่รับฎีกาคดี 'ร.ต.อ.เจษฎา' ยิงนายทหารเรือปี53

คดี "ร.ต.อ.เจษฎา" ยิงนายทหารเรือปี53 เหตุขับรถปาดหน้า ถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้ยกฟ้อง หลังศาลฎีกาไม่รับฎีกาโจทก์

ที่ห้องพิจารณา 713 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก วันที่ 27 มี.ค.58 เวลา09.30น.ศาลอ่านคำพิพากษาของศาลฎีกา หมายเลขดำ อ.841/2554ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา3เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง ร.ต.อ.เจษฎา เจตภรณ์ อายุ32ปี อดีต รอง สว.สส.สน.ห้วยขวาง เป็นจำเลย ในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา , มีอาวุธปืนและเครื่องปืนโดยพกอาวุธปืนเข้าไปในเมือง ฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา288, 374 และความผิดตามพ.ร.บ.อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืน พ.ศ.2490

 ตามฟ้องโจทก์เมื่อวันที่ 11 ก.พ.54 บรรยายพฤติการณ์จำเลยสรุปว่า เมื่อวันที่2พ.ย.53เวลากลางคืน ขณะจำเลยรถยี่ห้อโตโยต้า อัลพาร์ด สีดำ หมายเลขทะเบียน1818กทม. ได้ใช้อาวุธปืนไม่ทราบชนิด ขนาด หมายเลขทะเบียน และกระสุนขนาด9มม. จำนวน3นัด ยิงประทุษร้าย น.อ.วุฒิชัย บุญฤทธิ์ สังกัดกรมกำลังพลทหารเรือ พระราชวังเดิม ที่ขับรถกระบะยี่ห้อมิตซูบิชิ รุ่นสตราด้า สีน้ำเงินเทา หมายเลขทะเบียน ลษ4811กทม. หลังจากขับรถปาดหน้ากัน โดยกระสุนที่ยิงนั้นเข้าศีรษะทะลุด้านหลัง เป็นเหตุให้ น.อ.วุฒิชัย ถึงแก่ความตาย เหตุเกิดบริเวณ ตรงข้ามโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ถ.รัชดาภิเษกฝั่งขาออก แขวงเขตดินแดง กทม. ต่อมาวันที่19พ.ย.53เจ้าหน้าที่จับกุมจำเลยได้ ซึ่งจำเลยให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา

โดยศาลชั้นต้น มีคำพิพากษาเมื่อวันที่21ธ.ค.55ให้ยกฟ้อง เนื่องจากพยานโจทก์ไม่สามารถจดจำใบหน้า รูปพรรณสัณฐานของคนร้ายได้ว่าเป็นคนเดียวกับจำเลยหรือไม่ ประกอบกับพนักงานสอบสวนไม่ได้นำปืนที่ใช้ก่อเหตุ มาตรวจรอยเขม่าดินปืนและตรวจวิถีกระสุน พยานหลักฐานโจทก์ยังไม่ชัดเจนเพียงพอว่าจำเลยเป็นผู้ลงมือก่อเหตุยิงผู้ตาย ศาลจึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย แต่ศาลก็ให้ขังจำเลยไว้ระหว่างอุทธรณ์

 ขณะที่อัยการโจทก์ ได้ยื่นอุทธรณ์ แต่ศาลอุทธรณ์มีคำตัดสินเมื่อวันที่ 18 มี.ค.57 พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องจำเลยเช่นกัน เนื่องจากพยานหลักฐานโจทก์ไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะลงโทษได้ จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย อัยการจึงยื่นฎีกา

 ศาลฎีกาประชุมตรวจสำนวนปรึกษาหารือกันแล้ว เห็นว่า ประเด็นฎีกาที่ยื่นนั้นเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ไม่ใช่ประเด็นข้อกฎหมาย ที่ศาลจะรับวินิจฉัยได้ จึงไม่รับฎีกา

 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อศาลไม่รับฎีกา ผลคดีจึงสิ้นสุดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ให้ยกฟ้อง ภายหลังฟังคำพิพากษาแล้ว มารดาได้เข้าโผเข้ากอด ร.ต.อ.เจษฎา ซึ่งวันนี้มีญาติเดินทางมาศาลให้กำลังใจด้วย ขณะที่มารดาของ ร.ต.อ.เจษฎา กล่าวทั้งน้ำตาว่า ที่ผ่านมารู้สึกทุกข์ใจ ที่ลูกชายคนโตต้องโทษโดยไม่เคยอ่านข่าวที่เกิดขึ้นอีกเลย ซึ่งขณะนี้ยังติดโทษจำคุกตามคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีที่ถูกฟ้องยิงคนขับแท็กซี่อีกคดี โดยจนถึงปัจจุบันถูกคุมขังมาแล้วร่วม 2 ปี

 ทั้งนี้ทางญาติของ ร.ต.อ.เจษฎา ระบุด้วยว่า เนื่องจากคดียิงคนขับแท็กซี่ พยานหลักฐานเกี่ยวกับอาวุธปืนมีความเชื่อมโยงกับคดีที่ถูกกล่าวหายิงนายทหารเรือ ดังนั้นเมื่อศาลฎีกาไม่รับฎีกาอัยการโจทก์ และผลคำพิพากษาถึงที่สุดตามศาลอุทธรณ์ คือให้ยกฟ้องแล้ว ก็จะหารือทนายความให้นำคำพิพากษาคดียิงนายทหารเรือนี้ไปยื่นต่อศาลฎีกา ขอพิจารณาคดีใหม่ที่ถูกกล่าวหายิงคนขับแท็กซี่ เนื่องจากต้องการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ ส่วนถ้ายื่นแล้วศาลจะมีคำสั่งรับหรือไม่รับ ก็เป็นอีกเรื่อง

 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคดียิงคนขับแท็กซี่นั้น อัยการ ยื่นฟ้องเป็นคดีหมายเลขดำ อ.850/2554ต่อศาลอาญา ฐานพยายามฆ่านายมณเฑียร จิตตระกูล คนขับแท็กซี่เมื่อคืนวันที่18ก.ค.53ที่ซอยจำเนียรเสริม แขวงพลับพลา เขตวังทองหลาง กทม.สาเหตุเกิดจากการขับรถปาดหน้ากัน ซึ่งศาลอาญามีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 31 ม.ค.55 ให้จำคุก 10 ปี แต่ภายหลังศาลอุทธรณ์ มีคำพิพากษาวันที่8มี.ค.56ให้ยกฟ้อง เนื่องจากพยานหลักฐานโจทก์มีพิรุธน่าสงสัยจึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย กระทั่งอัยการยื่นฎีกา ต่อมาวันที่ 24 ธ.ค.57 ศาลฎีกา จึงพิพากษากลับให้จำคุกตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นเวลา 10 ปี