สนช.เมินนศ.ค้านม.ออกนอกระบบ

"สนช."เมินนศ.ค้านม.ออกนอกระบบ รับหลักการร่างพ.ร.บ.มหาวิทยาลัย 4 แห่ง พร้อมรับหลักการม.กาฬสินธุ์ ควบรวม 2 มหาวิทยาลัยเข้าด้วยกัน
ที่รัฐสภา มีการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีนายพีระศักดิ์ พอจิต รองประธานสนช.คนที่ 2 ทำหน้าที่ประธาน โดยที่ประชุมได้พิจาณาเรื่องด่วน ร่างพ.ร.บ. มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ พ.ศ. โดยมีสาระสำคัญคือ ในมาตรา 36 พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 ให้สถานศึกษาของรัฐที่จัดการศึกษาระดับปริญญาเป็นนิติบุคคลเพื่อให้ดำเนินกิจการโดยอิสระ สามารถพัฒนาระบบบริหารและจัดการที่เป็นของตนเอง มีความคล่องตัว มีเสรีภาพทางวิชาการ และอยู่ภายใต้การดูแลของสภาสถานศึกษา เพื่อให้สามารถระดมทรัพยากรที่มีอยู่ในชุมชนมาร่วมกันให้เกิดประโยชน์สูงสุด และเพิ่มศักยภาพทางวิชาการ สมควรรวมมหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ กับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตกาฬสินธุ์ มาจัดตั้งเป็นมหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ เพื่อร่วมผลิตบัณฑิตให้สอดคล้องกับความต้องการของชุมชนและท้องถิ่นของจังหวัดกาฬสินธุ์และพื้นที่ใกล้เคียง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าสมาชิก สนช.ส่วนใหญ่อภิปรายสนับสนุนร่างพ.ร.บ.ดังกล่าว แต่ตั้งข้อสังเกตว่าการเปิดสาขาวิชาจะต้องตอบสนองความต้องการของท้องถิ่น และพื้นที่ใกล้เคียง ไม่ใช่เพื่อแข่งขันกับมหาวิทยาลัยอื่นที่เกิดขึ้นมานานแล้วและได้รับความนิยมมากกว่า นอจากนี้มหาวิทยาลัยจะต้องมีความพร้อมในเรื่องอุปกรณ์การเรียนการสอนเพื่อตอบสนองให้นักศึกษาได้เรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ ภายหลังที่ประชุมได้มีมติรับหลักการวาระแรกด้วยคะแนน 156 ต่อ 1 งดออกเสียง 2 ตั้งกรรมาธิการวิสามัญเพื่อพิจารณาจำนวน 15 คน
ต่อมาได้พิจารณาร่างพ.ร.บ.ที่มีเนื้อหานำมหาวิทยาลัยออกนอกระบบจำนวน 4 ฉบับ ได้แก่ ร่างพ.ร.บ.มหาวิทยาลัยสวนดุสิต พ..ศ..... ร่างพ.ร.บ.มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ พ.ศ... ร่างพ.ร.บ.มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พ.ศ.... และร่างพ.ร.บ.มหาวิทยาลัยขอนแก่น พ.ศ.... โดยนายกฤษณพงศ์ กีรติกร รมช.ศึกษาธิการ ได้ชี้แจงว่า ร่างพ.ร.บ.ดังกล่าวมีสาระสำคัญคือ ปรับปรุงการศึกษาระดับอุดมศึกษาให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม โดยส่งเสริมให้มหาวิทยาลัยของรัฐพัฒนาไปสู่การเป็นมหาวิทยาลัยของรัฐที่ไม่เป็นส่วนราชการแต่อยู่ในกำกับของรัฐ เพื่อประโยชน์ในการบริหารจัดการที่เป็นอิสระและมีความคล่องตัว สามารถจัดการศึกษาได้อย่างมีคุณภาพและประสิทธิภาพมากขึ้น มีความเป็นอิสระ สามารถพัฒนาระบบบริหารและมีความเป็นเลิศทางวิชาการ สอดคล้องกับกฎหมายว่าด้วยการศึกษาแห่งชาติ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สมาชิกส่วนใหญ่อภิปรายสนับสนุน โดยเฉพาะสมาชิกที่มาจากสายอธิการบดีมหาวิทยาลัย อาทิ นายเฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ อธิการบดีม.ศรีนครินทรวิโรฒ (มศว. ) ประดิษฐ์ วรรณรัตน์ สถาบันบัณฑิตพัฒน บริหารศาสตร์ (นิด้า ) นายทวีศักดิ์ สูทกวาทิน ประธานสภาคณาจารย์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) นางสุมณฑา พรหมบุญ อดีตอธิการบดี มศว. โดยระบุว่า ขอบคุณรัฐบาลที่กล้าหาญในการเสนอร่างพ.ร.บ.ทั้ง 4 แห่งเข้าสู่การพิจารณาของสนช.หากเป็นภาวะปกติ นักการเมืองก็จะห่วงฐานเสียงตนเอง จึงไม่ได้ลำดับความสำคัญในเรื่องนี้เป็นลำดับต้นๆ สิ่งทีเป็นกังวลว่า มหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐหรือที่เรียกกันติดปากว่า ม.นอกระบบนั้นจะทำให้ค่าเล่าเรียนสูงขึ้นนั้นก็ไม่เป็นความจริง เพราะดูจากมหาวิทยาลัยหลายแห่งที่ออกนอกระบบไปแล้วค่าเล่าเรียนก็เท่ากับมหาวิทยาลัยของรัฐ ซึ่งก็เป็นที่ประจักษ์แล้วจึงไม่น่ากังวลอะไร ส่วนงบประมาณที่ได้รับการจัดสรรก็เท่ากันเช่นกันไม่มากกว่าหรือน้อยกว่า จึงสามารถดูแลนักศึกษาได้อย่างเท่าเทียมกัน เพียงแต่แตกต่างกันที่การบริหารงานที่มีความคล่องตัวสูง มีประสิทธิภาพ มีความเป็นอิสระมากขึ้นอีก รวมทั้งจะได้คนดีคนเก่งเข้ามาเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัย อย่างไรก็ตามร่างพ.ร.บ.นี้ไม่ได้หมายความว่า เป็นมหาวิทยาลัยเอกชนแต่ยังคงเป็นมหาวิทยาลัยของที่ต้องได้รับการตรวจสอบเช่นเดียวกัน
ด้านนายกฤษณพงศ์ กีรติกร รมช.ศึกษาธิการ กล่าวว่า พร้อมรับข้อเสนอแนะและข้อสังเกตของสมาชิกไปพิจารณา ทั้งนี้คำถามที่เป็นข้อข้องใจของนักศึกษาก็มาในลักษณะนี้ 20 ปีแล้ว ซึ่งก็ให้สกอ.ได้ศึกษาเชิงระบบ แต่เรื่องค่าใช้จ่ายไม่แตกต่างไปจากมหาวิทยาลัยสังกัดราชการศึกษา ส่วนเสรีภาพทางวิชาการยืนยันว่าไม่น้อยกว่าเดิมทั้งในด้านการศึกษาและงานวิจัย สำหรับความรับผิดชอบแม้จะมีอิสระในการดูแลตัวเอง ความรับผิดชอบก็จะเพิ่มขึ้น
จากนั้นที่ประชุมได้มีมติรับหลักการในวาระแรกทั้ง 4 ฉบับ พร้อมตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญจำนวน 15 คน 4 คณะขึ้นมาเพื่อพิจารณาต่อไป







