เมืองไทยประกันภัยตั้งเป้าเบี้ยรับโต17%

เมืองไทยประกันภัยตั้งเป้าเบี้ยรับโต17%

"เมืองไทยประกันภัย" ตั้งเป้าโต 17% หรือมีเบี้ยรับตรงอยู่ที่ 11,986 ล้านบาท หวังรักษาตำแหน่งเบอร์ 4 ของอุตสาหกรรม

นางนวลพรรณ ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่า แนวโน้มธุรกิจประกันภัยในปี 2558 นี้ยังเห็นการแข่งขันที่รุนแรงต่อเนื่อง โดยบริษัทตั้งเป้าหมายการเติบโตของเบี้ยประกันรับตรงอยู่ที่ 11,986 ล้านบาท เติบโต 17% แบ่งสัดส่วนเป็นประกันภัยรถยนต์ (Motor) 48% และเป็นประกันภัยทั่วไป (Non-Motor) 52%

สำหรับช่องทางขายในปีนี้จะเพิ่มสัดส่วนการขายผ่านแบงก์แอสชัวรันส์จาก 30% ในปีที่ผ่านมาเป็น 31-32% ช่องทางตัวแทนก็จะเพิ่มขึ้นเป็น 17% จากปีก่อนที่มีสัดส่วน 16% ขณะที่ส่วนการขายผ่านช่องทางพันธมิตรธุรกิจรถยนต์จะลดลง 1-2% ตามยอดขายรถที่ยังไม่ดีมากนัก

ทั้งนี้ในปีที่ผ่านมาบริษัทมีเบี้ยประกันภัยรับรวม 10,233 ล้านบาทสูงขึ้นจากงวดเดียวกันของปี 2556 เติบโต 15.1% โดยเป็นเบี้ยประกันภัยรับตรง 10,028 ล้านบาท เป็นอันดับที่ 4 ของอุตสาหกรรม โดยในปีนี้บริษัทจะรักษาอันดับเอาไว้ เนื่องจากยอมรับว่าการขึ้นเป็นอันดับ 3 ของอุตสาหกรรมเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก เนื่องจากเบี้ยยังห่างจากคู่แข่งค่อนข้างมาก แต่บริษัทจะให้ความสำคัญกับความสามารถในการทำกำไรมากกว่า

สำหรับการลงทุนของบริษัทนั้นในปัจจุบันมีพอร์ตลงทุน 8,000 ล้านบาท เป็นการลงทุนในตราสารหนี้ 53% เงินฝาก 18% ตราสารทุน 29% ในปีนี้เม็ดเงินลงทุนจะเพิ่มขึ้นเป็น 10,000 ล้านบาทตามการขยายตัวของธุรกิจ ซึ่งการลงทุนในปีนี้จะยังคงสัดส่วนการลงทุนในตราสารทุนในระดับดังกล่าวต่อไป แต่การลงทุนในเงินฝากจะลดลง และหันไปที่ตราสารหนี้ระยะกลางมากขึ้น โดยสัดส่วนจะเพิ่มขึ้นเป็น 60% เนื่องจากในปีที่ผ่านมาเรามีการจ่ายสินไหมเหตุการณ์มหาอุทกภัยในปี 2554 แต่ปัจจุบันเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้เข้าสู่ภาวะปกติแล้ว

ในส่วนของผลตอบแทนจากเงินลงทุนในปีที่ผ่านมาอยู่ที่ระดับเกือบ 5% ส่วนผลตอบแทนในปีนี้มีแนวโน้มลดลงเล็กน้อยตามภาวะตลาดที่ไม่เอื้อมากนัก แต่บริษัทยังตั้งเป้าหมายที่จะรักษาอัตราผลตอบแทนให้ใกล้เคียงระดับเดิม โดยจะมาจากการลงทุนในหุ้น กองทุนอสังหาริมทรัพย์ โดยบริษัทมองว่าแนวโน้มการลงทุนในตลาดหุ้นไทยยังมีทิศทางทรงตัวจากปีก่อนที่ยังมีอัตราการจ่ายปันผลที่ดี และไทยยังมีโอกาสที่ดีจากการเป็นศูนย์กลางเออีซีอีกด้วย โดยดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในไตรมาสแรกของปีคาดว่าจะอยู่ในระดับไม่ต่ำกว่า 1,600 จุด ปัจจุบันการลงทุนในตราสารทุนของบริษัทประกอบด้วยหุ้นทุนและหน่วยลงทุน (Unit Trust) เช่นกองทุนอสังหาริมทรัพย์ และกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์(REITs) ในสัดส่วนเท่า ๆ กัน

อย่างไรก็ตามความผันผวนจากปัจจัยด้านต่างประเทศทำให้ราคาหุ้นอาจปรับตัวขึ้นลงบ้างบริษัทจะต้องปรับขนาดการลงทุนไปตามจังหวะ โดยจะเน้นหุ้นกลุ่มสื่อสาร อาหาร และการส่งออก ส่วนธุรกิจพลังงานแม้จะได้รับผลกระทบทางด้านราคาในช่วงปลายปีที่ผ่านมาแต่เชื่อว่าจะเป็นภาวะชั่วคราว

นอกจากนี้ยังอยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อมในการออกไปลงทุนต่างประเทศด้วย โดยคณะกรรมการบริษัทได้อนุมัติกรอบการลงทุนไว้ 15% และคาดว่าจะเริ่มลงทุนได้ในปีนี้ จากตราสารหนี้ต่างประเทศ ที่มีความเสี่ยงเทียบเท่าเงินฝาก ผลตอบแทนหลังทำการป้องกันความเสี่ยงอยู่ที่ระดับ 4% โดยมีนโยบายป้องกันความเสี่ยง 100%