พระมหาพงศ์นรินทร์ยัน'ธรรมกาย'บิดเบือนคำสอนพระไตรปิฎก

พระมหาพงศ์นรินทร์-นักการเมือง-นักวิชาการแฉ"ธรรมกาย"บิดเบือนคำสอนพระไตรปิฎก สอนให้คนมีกิเลสใช้วัตถุทำการตลาด-จิตวิทยามวลชนกล่อมประชาชน
ที่ตึกกิจกรรมนอกศึกษา ห้อง 203 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์(ท่าพระจันทร์) พระมหาพงศ์นรินทร์ ฐิตวํโส, นายแทนคุณ จิตต์อิสระ , ดร.เสรี วงษ์มณฑา ร่วมเสวนาในหัวข้อ กึ่งพุทธกาลกับมารศาสนา ลัทธิสัทธรรมปฏิรูปตรรกะวิบัติของธรรมกาย กรณี ”ธุดงค์ธรรมชัยวิบัติ” จัดโดย แฟนเพจต่อต้านลัทธิจานบินฯและกลุ่มสภาปฏิรูปพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(สปพช.)โดยมีพุทธศาสนิกชนให้ความสนใจเข้าร่วมรับฟังเป็นจำนวนมาก
โดยพระมหาพงศ์นรินทร์ ฐิตวํโส กล่าวในตอนหนึ่งของการเสวนา ธรรมกายไม่ใช่การตรัสรู้ของบุคคลอย่างที่เข้าใจกัน แต่ธรรมกายเป็นคำรวมๆหมายถึงธรรมทั้งหมด เช่น โลกุตรธรรม 9 ซึ่งได้แสดงวิธีการปฏิบัติให้บรรลุถึงพร้อมไว้เรียบร้อยแล้ว ฉะนั้นจะมามีวิธีปฏิบัติเข้าถึงธรรมกายขึ้นมาต่างหากได้อย่างไร คำว่า"ธรรมกาย"คือชื่อหนึ่งของพระพุทธเจ้า มาจาก"กาย" แปลว่า ที่ประชุม กอง ที่รวม ที่รวมประชุมแห่งธรรมจึงเรียกว่า "ธรรมกาย" ที่มาแต่ดั้งเดิมแล้ว
"ลัทธิดังกล่าวสามารถโตได้ในไทยเพราะ อาศัยจุดอ่อนในเรื่องของฐานะการเงินของประชาชนและการนำเอาเรื่องของการตลาดมาใช้ในเรื่องความขัดแย้งโดยมีการวางแผนไว้ก่อน เนื่องจากทางวัดพระธรรมกายก็มีผู้ที่ไม่เห็นด้วยอยู่เยอะ เรื่องนี้เป็นการยกระดับทางปัญญา เรารับพุทธศาสนามาจากศรีลังกา จึงทำให้การนำไปบิดเบือนหลักการหลักธรรมบ้าง เมื่อมีประเด็นที่ทำให้ผู้คนไม่พอใจ สื่อใหญ่จึงเชิญไปออกรายการซึ่งทางวัดธรรมกายนั้นก็ได้ชิงพื้นที่สื่อ ทำให้คนสนใจ จากนั้นเมื่อมีการเข้าไปถามถึงข้อมูลเป็นตัวบุคคลจึงมีการเชิญชวนให้ไปดูที่วัดก่อนว่า เป็นอย่างไรแล้วค่อยวิพากษ์ วิจารณ์ จากนั้นจึงได้เห็นพิธีกรรมที่ดูยิ่งใหญ่ หรูหรา ซึ่งถือเป็นจิตวิทยามวลชนประเภทหนึ่ง ที่หวังให้เกิดความประทับใจ โดยมีการใช้คำประโลมโลกในเรื่องของความโลภ เช่น การใช้วัตถุเป็นเครื่องวัด บุญบารมี เรื่องดังกล่าวทำให้เกิด กิเลส มีการบิดเบือนคำสอนจากในพระไตรปิฎก มีการสร้างคำศัพท์ใหม่ๆขึ้นมาเช่นคำว่า ที่สุดแห่งธรรม ซึ่งแต่เดิมในพระไตรปิฎกนั้นจะใช้คำว่า ที่สุดแห่งทุกข์ เมื่อประชาชนได้ฟังคำบัญญัติใหม่เหล่านั้นมากเข้า ก็จะเชื่อว่า เป็นเรื่องจริง” พระมหาพงศ์นรินทร์ ฐิตวํโส กล่าว
พร้อมทั้งยกตัวอย่างว่า ในเรื่องของการธุดงค์ ซึ่งแต่เดิมคำว่าธุดงค์ไม่ได้แปลว่าการเดิน แต่การ เดิน นั้นจะใช้คำว่า จาริก แต่ที่ทางวัดใช้คำว่า ธุดงค์ เป็นเพราะเหตุผลทางการตลาดเพื่อให้คนเข้ามาร่วมทำบุญเป็นจำนวนมาก ส่วนเรื่องการโปรยดอกดาวเรืองนั้น ในสมัยก่อนพุทธกาลหากมีการเดินของพระสงฆ์ จะเป็นการโปรยดอกไม้ขึ้นฟ้า ไม่ใช่การโปรยลงทางเดินให้เหยียบกัน
พระมหาพงศ์นรินทร์ ฐิตวํโส กล่าวถึงเรื่องคำสอนนั้นว่า แต่เดิมศาสนาพุทธไม่ได้สอนให้เชื่อในเรื่องพระเจ้าองค์เดียว ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่อันตราย แต่สอนให้ยึดถือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะสูงสุด ซึ่งแตกต่างกัน แล้วจะปล่อยให้ลูกหลานเชื่อได้หรือ
ด้านนาย แทนคุณ กล่าวว่า ส่วนเรื่องที่ทางวัดธรรมกายมีการใช้โพลล์มาอ้างอิงขณะออกสื่อ ว่ามีคนพอใจในการเดินธุดงค์ธรรมชัยนั้นมีคนพอใจถึง 99% คงจะเป็นการเลือกสำรวจความคิดเห็นเฉพาะกลุ่ม ซึ่งตามหลักการแล้ว การทำโพลล์จะต้องกระจายกลุ่มตัวอย่างให้กว้างที่สุด ทำให้มีคนจำนวนไม่น้อยที่เชื่อในลัทธิดังกล่าวซึ่งได้มีการบริจาคเงินไปเป็นจำนวนมาก อยากถามว่าทางวัด เอาเงินบริจาคดังกล่าวไปทำอะไร ซึ่งหากไม่รู้เท่าทันในเรื่องดังกล่าว และปล่อยเวลาให้ล่วงไป อีกประมาณ 5 ปีคงจะได้เห็นความเปลี่ยนแปลงในวงการพระพุทธศาสนาของประเทศไทย ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง แล้วจากนั้นใครจะเป็นผู้ดึงวงการพุทธศาสนากลับมาตามครรลองที่ถูกต้อง
"ผมไม่อยากเห็นการชุมนุมของพระสงฆ์ที่คล้ายกับการชุมนุมทางการเมืองแต่คิดว่าในอนาคตนั้นมีสิทธิ์ที่จะเป็นไปได้เช่นกัน เพราะต้องยอมรับว่า ทางวัดธรรมกายนั้นมีผู้เลื่อมใสศรัทธาอยู่ไม่น้อย มีทั้งนักการเมือง ผู้ที่เคยเป็นรัฐมนตรีบางคน พระสงฆ์ระดับสูง รวมถึงบุคคลต่างๆที่มีแทรกซึมอยู่ทุกองค์กร ซึ่งสามารถใช้อำนาจไปในทางมิชอบเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับวัดธรรมกายได้ เช่นการแก้กฎหมาย เป็นต้น แล้วในอนาคตรวงการพุทธศาสนาก็สามารถเปลี่ยนโฉมไปเป็นอีกรูปแบบหนึ่งได้ ซึ่งไม่ตรงตามแก่นของศาสนาพุทธ เนื่องจากในประเทศไทย หากมีเงินและอำนาจก็ง่ายที่จะทำอะไรก็ได้” นายแทนคุณ กล่าวและว่า ตนอยากทราบว่า ที่แท้จริงแล้วทางวัดพระธรรมกายมีเจตนาแฝงอะไร เนื่องจากมีการขยายไปในส่วนของต่างประเทศที่มีสาขากระจายอยู่ตามประเทศต่างๆ เช่นในอังกฤษและสหรัฐอเมริกา ซึ่งในเรื่องดังกล่าว เราต้องใช้สติทบทวน หากเราไม่ช่วยกันยับยั้งตรวจสอบจะนับว่าเราเป็นชาวพุทธได้อย่างไรในเมื่อ วัดพระธรรมกายนั้นเป็นการทุจริตในเรื่องบุญกุศล ความเชื่อ" นายแทนคุณ กล่าว
ขณะที่ ดร.เสรี ได้โฟนอินเข้ามาร่วมยังวงเสวนาด้วยว่า ตนอยากให้ประชาชนช่วยกันโพสต์ในโซเชียลมีเดียเยอะๆ ยิ่งเป็นคนมีชื่อเสียงและมีคนเชื่อถือเยอะก็ยิ่งดี เพื่อผู้ที่จะบิดเบือนศาสนานั้นจะต้องพินาศ แล้วอยากให้ช่วยกันสอดส่องดูแลเรื่อง คำสอนของทางวัดด้วยไม่ใช่แค่การธุดงค์เพียงอย่างเดียว







