ศาลสั่งคุก2เดือน'อ.ตุ้ม-ทนายพิชา'ละเมิดศาล

ศาลสั่งคุก2เดือน'อ.ตุ้ม-ทนายพิชา'ละเมิดศาล

ศาลแพ่ง สั่งคุก 2 เดือน"อ.ตุ้ม - ทนายพิชา" ละเมิดศาล เอี่ยวเหตุการณ์มวลชนวางพวงหรีดหน้าศาลต้นปี 57

ที่ห้องพิจารณา 510 ศาลแพ่ง ถ.รัชดาภิเษก วันที่ 9 มิ.ย.57 เวลา 09.00 น. ศาลนัดไต่สวน คดีละเมิดอำนาจศาล หมายเลขดำ ลม.1/2557 ที่นางดารุณี กฤตบุญญาลัย , นางสุดสงวน สุธีสร หรือ อาจารย์ตุ้ม อาจารย์ประจำ คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และนายพิชา วิจิตรศิลป์ ทนายความ ตกเป็นผู้ถูกกล่าวหาที่ 1-3 ว่ามีพฤติการณ์สร้างความวุ่นวายในบริเวณพื้นที่ศาล จากกรณีเมื่อวันที่ 21 ก.พ.ที่ผ่านมา นางดารุณี นักธุรกิจไฮโซ แนวร่วม นปช. กับพวก นำมวลชนจำนวนมาก รวมตัวกันที่หน้าอาคารศาลแพ่ง ถ.รัชดาภิเษก ซึ่งมีการอ่านแถลงการณ์ วางพวงหรีด และชูป้ายข้อความวิจารณ์การทำหน้าที่ของศาลแพ่งคดี กปปส. ฟ้องเพิกถอนการออกประกาศ ตาม พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 มาผูกติดไว้กับประตูรั้ว เพื่อแสดงออกถึงการไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษาดังกล่าว

อย่างไรก็ดีเมื่อถึงเวลานัด นางดารุณี แนวร่วม นปช. ผู้ถูกกล่าวที่ 1 ไม่มาศาล ซึ่งอ้างเรื่องความไม่ปลอดภัย โดยมีเพียงผู้แทนทนายความเท่านั้นมาศาล

ขณะที่นางสุดสงวน และนายพิชา ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2-3 มาศาล และศาลได้ทำการไต่สวนแล้ว

ต่อมาวันเดียวกันเวลา 15.00 น.ศาลแพ่ง จึงได้นัดคำสั่ง โดยศาลพิเคราะห์นางดารุณี ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 น่าจะมีพฤติการณ์หลบหนี จึงมีคำสั่งให้ออกหมายจับตัวมาเพื่อดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปในภายหลัง โดยข้อกล่าวหาในส่วนของนางดารุณีนั้น ให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความเป็นการชั่วคราวก่อนจนกว่าจะจับกุมตัวได้

ส่วนนางสุดสงวน และนายพิชา ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2-3 ศาลแพ่ง พิเคราะห์ข้อเท็จจริงที่ได้จากการไต่สวน ประกอบการตรวจดูภาพที่ได้มีการบันทึกเหตุการณ์ไว้แล้ว เห็นว่า เมื่อวันที่ 21 ก.พ.57 เวลา 13.30 น. ผู้ถูกกล่าวหากับพวกอีกประมาณ 130 คน เข้ามาวางพวงหรีด รวมทั้งเปิดเครื่องขยายเสียง และชูป้ายที่มีถ้อยคำเสียดสีกระบวนพิจารณาคดีของศาลแพ่ง เกี่ยวกับคดีที่นายถาวร เสนเนียม แกนนำ กปสส. เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีขณะนั้นกับพวก เพื่อขอให้ศาลเพิกถอนการประกาศ พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ซึ่งศาลแพ่งได้มีคำสั่งคุ้มคราวในคดีดังกล่าว

โดยผู้ถูกกล่าวหาที่ 2-3 ก็ยอมรับว่าเป็นคนเดียวกับบุคคลในภาพ และผู้ถูกกล่าวหายังขอแถลงถอนคำให้การปฏิเสธทั้งหมดคดีนี้ โดยขอแถลงรับสารภาพ ขณะที่ผู้ถูกกล่าวหา ระบุว่าไม่รู้จักกับหญิงชุดดำที่ถือตราชูและปลัดขิก

ศาลแพ่ง จึงมีคำสั่งว่า นางสุดสงวน และนายพิชา ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2- 3 มีความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล ให้จำคุกคนละ 2 เดือน ซึ่งคำรับสารภาพเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา จึงเห็นควรลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกคนละ 1 เดือน แต่การกระทำนั้นอุกอาจ เป็นการท้าทายศาล ซึ่งผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 ถึงเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย และผู้ถูกกล่าวหา ที่ 3 เป็นถึงทนายความย่อมมีความรู้ดีว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการประพฤติไม่สมควร ทำให้ศาลเสื่อมเสีย จึงไม่สมควรให้รอการลงโทษเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง

ภายหลังเมื่อรับทราบคำสั่งศาลแล้ว นางสุดสงวน และนายพิชา ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2-3 จึงได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์เป็นเงินสด เพื่อขอปล่อยชั่วคราวต่อสู้คดีชั้นอุทธรณ์ โดยศาลแพ่ง พิจารณาคำร้องและหลักทรัพย์แล้ว อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวทั้งสองได้

ขณะที่นายพิชา ทนายความ หนึ่งในผู้ถูกกล่าวหา ระบุว่า ในชั้นไต่สวนได้ชี้แจงข้อเท็จจริงต่อศาลแล้ว ก็ยอมรับคำสั่งศาลแต่ยังจะขอใช้สิทธิอุทธรณ์เพื่อขอให้ศาลลงโทษสถานเบา

อย่างไรก็ดีการที่ถูกศาลสั่งละเมิดอำนาจศาลนี้ จะไม่มีผลกระทบต่อวิชาชีพทนายความ ตนก็ยังสามารถทำหน้าที่ว่าความในคดีที่รับผิดชอบต่อไปได้