หุ้นช.การช่างวิ่งยกกลุ่ม

หุ้นช.การช่างวิ่งยกกลุ่ม

"หุ้นช.การช่าง" ปรับตัวขึ้นแรงยกกลุ่ม ทั้งช.การช่าง-บีเอ็มซีแอล-ซีเคพาวเวอร์ ทั้งราคาเพิ่มขึ้นแรงและปริมาณการซื้อขายคึกคัก

การเคลื่อนไหวราคาหุ้นกลุ่ม ช.การช่าง วานนี้ (30 พ.ค.) พบว่า ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นแรงยกกลุ่ม โดยหุ้นช.การช่าง (CK) มีมูลค่าการซื้อขายติด 10 อันดับสูงสุดในตลาด ล่าสุดปิดตลาดที่ 21.10 บาท เพิ่มขึ้น 0.45% มูลค่าการซื้อขาย 1.55 พันล้านบาท หุ้นรถไฟฟ้ากรุงเทพ (BMCL) ปิดตลาดที่ 1.06 บาท เพิ่มขึ้น 3.92% และเป็นหุ้นที่มีปริมาณการซื้อขายสูงสุดของวัน หุ้นซีเค พาวเวอร์ (CKP) ปิดตลาดที่ 13.20 บาท เพิ่มขึ้น 7.32% และหุ้นทางด่วนกรุงเทพ (BECL) ปิดตลาดที่ 34.75 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง

ขณะที่รายงานข่าวจากตลาดหลักทรัพย์ แจ้งว่า มีรายชื่อหลักทรัพย์ที่สมาชิกต้องดำเนินการให้ลูกค้าวางเงินสดล่วงหน้าเต็มจำนวนก่อนจะซื้อหุ้น 2 บริษัท ได้แก่ บริษัทรถไฟฟ้ากรุงเทพ และบริษัทอาร์พีซีจี โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 2 มิ.ย.-10 ก.ค.นี้

นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวว่า การที่ราคาหุ้นกลุ่มช.การช่าง ปรับตัวคึกคัก เพราะนักลงทุนเข้ามาเก็งกำไร ดักหน้านโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ และการพิจารณางบประมาณปี 2558 ซึ่งคาดว่าการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐน่าจะส่งผลดีต่อผลประกอบการหลังจากที่อยู่ในสถานการณ์อึมครึมมาตลอด นักลงทุนจึงเข้ามาซื้อเพื่อเก็งกำไรในหุ้นดังกล่าว

"ตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง จะเห็นว่าหุ้นกลุ่มรับเหมาได้อานิสงส์ โดยมีแรงซื้อเข้ามาเก็งกำไรและราคาหุ้นก็ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง จนบางบริษัทราคาเต็มมูลค่าพื้นฐานแล้ว ควรรอดูว่าความชัดเจนของโครงการลงทุนต่างๆ และควรใช้ความระมัดระวังในการลงทุน"

นักวิเคราะห์หลักทรัพย์บล.กรุงศรี กล่าวว่า ฝ่ายวิจัยประเมินหุ้นบีเอ็มซีแอล ราคาปรับตัวขึ้นเกินมูลค่าพื้นฐานแล้ว แต่ความเสี่ยงคือการเปิดใช้ส่วนต่อขยายสายสีน้ำเงินและม่วงอาจจะล่าช้าไปจากปี 2559 และจะกระทบต่อการประเมินมูลค่า

รวมถึงมูลค่าเพิ่มจากโครงการใหม่ ซึ่งจะมีผลต่อระยะเวลาในการเข้าประมูลงานและผลตอบแทนจากโครงการยิ่งช้าไป กระแสเงินสดจากโครงการที่จะเติบโตให้ทันกับส่วนแบ่งรายได้ที่ต้องจ่ายให้กับรฟม.อย่างมีนัยสำคัญตั้งแต่ปี 2558 อาจกดดันให้ผลประกอบการยังคงขาดทุน และส่วนของผู้ถือหุ้นยังโน้มลดลงต่อเนื่องใน 3 ปีจากนี้ จึงปรับลดคำแนะนำจาก "ถือ" เป็น "ขาย" สะท้อนปัจจัยพื้นฐานที่เริ่มได้รับผลกระทบจากปัจจัยเสี่ยง

"ล่าสุดผู้บริหารยังไม่มีการเจรจากับรฟม. เพื่อขอปรับลดส่วนแบ่งรายได้ดังกล่าว และการที่ รฟม.ยอมลดสัดส่วนการลงทุนในบีเอ็มซีแอล จาก 25% เหลือ 15% โดยไม่ใส่เงินเพิ่มทุนช่วงปลายปี 2556 บ่งบอกถึงแนวโน้มนโยบายที่ต้องการส่วนแบ่งรายได้มากกว่าผลตอบแทนจากการลงทุน เราจึงได้ปรับประมาณการขาดทุนเพิ่มขึ้นเป็น 604 ล้านบาทในปีนี้จากเดิม 317 ล้านบาท นอกจากนี้ได้ปรับลดมูลค่าพื้นฐานลงด้วย

บทวิเคราะห์ บล.คันทรี่กรุ๊ป ประเมินว่าหุ้นซีเคพาวเวอร์ ปรับตัวขึ้นได้จากการเป็นตัวแทนการลงทุนในโรงไฟฟ้าในกลุ่ม AEC อีกทั้งบริษัทยังมีแผนการเติบโตที่น่าตื่นเต้นในระยะยาว ทั้งจากการลงทุนในโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำใน สปป.ลาว และการเตรียมเข้าประมูลโรงไฟฟ้า SPP เมื่อ EGAT เปิดให้เข้าแข่งขันจึงเป็นปัจจัยที่ช่วยหนุนให้นักลงทุนเข้ามาลงทุน

นักวิเคราะห์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่าหุ้นบีอีซีแอล เป็นหุ้นที่มีการปันผลต่อเนื่อง และมีรายได้ที่มั่นคง และแน่นอน รวมทั้งยังมีโอกาสในการได้รับการดำเนินงานทางพิเศษใหม่เข้ามา ซึ่งจะเป็นส่วนหนุนการเติบโตในอนาคตของบริษัท และยังมีการลงทุนในธุรกิจอื่นๆ ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงมาจากปริมาณรถใช้ทางด่วนที่ลดลงต่ำกว่าคาด การไม่ได้รับการต่อสัญญาสัมปทานที่จะสิ้นสุดในปี 2563 และประชาชนที่หันไปใช้ระบบขนส่งมวลชนมากขึ้น

"การปรับขึ้นค่าผ่านทางในเดือนก.ย.2556 ส่งผลให้รายได้ค่าผ่านทางขยายตัวได้ ส่วนค่าใช้จ่ายลดลงกว่าที่คาดไว้ทั้งค่าตัดจำหน่ายสิทธิประโยชน์การใช้ประโยชน์บนงานก่อสร้างที่แล้วเสร็จที่ลดลง 7.03% จากปริมาณรถใช้ทางด่วนที่ลดลง และค่าทดแทนการจัดหาพื้นที่ก่อสร้างทางด่วนที่ลดลง จากการปรับใช้มาตรฐานบัญชีใหม่ ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายการตั้งสำรองพื้นที่ลดลง"

ดังนั้นจึงมองว่าในไตรมาสแรกปีนี้ บริษัทได้รับผลกระทบจากการปิดถนนเส้นในเมือง ซึ่งเป็นที่สร้างรายได้หลักให้แก่บริษัท แต่จากตัวเลขปริมาณรถใช้ทางด่วนที่ส่งสัญญาณดีขึ้นในเดือนเม.ย.จากการเติบโตจากงวดเดียวกันปีก่อน

เขากล่าวว่า ฝ่ายวิจัยมองปริมาณรถใช้ทางด่วนจะปรับตัวดีขึ้นในเดือนพ.ค. จากการเข้าสู่การเปิดภาคเรียน และการให้บริการเส้นอโศก 3-1 ซึ่งคาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในเดือนพ.ค. โดยบริษัทคาดจะมีปริมาณรถใช้เส้นทางดังกล่าว 10,000 คันต่อวัน น่าจะทาให้ปริมาณรถใช้ทางด่วน และรายได้ค่าผ่านทางของบริษัทเพิ่มขึ้นในไตรมาสถัดไป