ถมไม่เต็มเงินจำนำข้าว ชาวนาโอดรัฐจ่ายช้า

ถมไม่เต็ม...โครงการับจำนำข้าว ชาวนาโอดรัฐจ่ายช้า "ถอดรหัส...จำนำข้าว"กับ บิซิเนส ทอล์ค ทาง กรุงเทพธุรกิจทีวี
เมื่อวันที่ 3 มิ.ย. ที่ผ่านมา นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ และ นายประสิทธิ์ บุญเฉย นายกสมาคมชาวนาไทย มาร่วมเสวนา "ถอดรหัส...จำนำข้าว" โดยมี นายนพคุณ ลิ้มสมานพันธ์ บรรณาธิการบริหารกรุงเทพธุรกิจทีวีดำเนินรายการ
นพ.วรงค์ กล่าวว่า โครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ มีเป้าหมายหลัก คือ ช่วยชาวนา แต่ดำเนินการจริงไม่ได้เป็นไปตามเป้าหมาย โดยในพื้นที่ที่ปลูกข้าวมาก เช่น จังหวัดพิษณุโลก สุโขทัย พิจิตร มีชาวนารอเงินจากโครงการบางราย 2-3 เดือน ยังไม่ได้รับเงินสำหรับสถานการณ์ในขณะนี้
"สถานการณ์ขณะนี้รัฐบาลไม่มีตังค์จ่ายให้ชาวนาแล้ว เพราะใช้ไปเต็มวงเงินกู้ 4.1 แสนล้านบาท และเงินจาก ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร หรือ ธ.ก.ส. อีก 9 หมื่นล้านบาท ขณะที่ขายข้าวได้เงินมา 8.3 หมื่นล้าน ธ.ก.ส.ควักเงินตัวเองจ่ายไปแล้ว 1.7 แสนล้าน และกว่าจะสิ้นสุดโครงการตัวเลขคงไปที่ 2 แสนล้านบาท ซึ่ง ธ.ก.ส.เลี่ยงไม่ได้คงต้องนำเงินฝาก เงินของคนจนทั้งหมดจะไปจมอยู่ที่กองข้าวของรัฐบาล"
เขาระบุว่า ชาวนาขายข้าวได้ก็โดนหักความชื้น ได้แค่ 10,500 บาทต่อเกวียน จากที่น่าจะได้ 1.3 หมื่นบาทต่อเกวียน และมีการสวมสิทธิ เวียนเทียน เอาข้าวด้อยคุณภาพไปส่งเข้าคลังกลาง ขณะที่การส่งออกไม่สามารถทำได้ โดยส่งออกลดลงไป 70% เพราะเวียดนามขายถูกกว่า ซึ่งต้นทุนจำนำ 2.4 หมื่นบาทต่อตัน แต่ราคาซื้อขายข้าวสารอยู่ที่ 1.4-1.5 หมื่นบาทต่อตัน ตัวเลขขาดทุนไปกว่า 2 แสนล้านบาท ยังไม่รวมค่าดำเนินการ รอบนี้ก็ได้เงินช้าแล้ว 3-4 เดือนจึงจะได้เงิน
ขณะที่ นายประสิทธิ์ เปิดประเด็นว่า นโยบายการจำนำข้าวมีส่วนดี ในแง่ยกระดับราคาข้าวสูงขึ้น โดยก่อนหน้านี้ชาวนาขายข้าวได้ 8 พันบาทต่อเกวียน แต่โครงการนี้ข้าวความชื้น 27% จะได้รับเงินอยู่ที่ 1.2 หมื่นบาทต่อเกวียน โดยข้าวที่ไม่มีความชื้นเลยชาวนาจะได้สูงสุด 1.3 หมื่นบาท
อย่างไรก็ตาม เขามองว่าการจำนำข้าวชาวนา ไม่ได้ประโยชน์อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะชาวนาภาคอีสาน ที่ปลูกข้าวไว้กินเอง 3-5 ไร่ โดยเปรียบเทียบกับโครงการประกันรายได้มีชาวนาเข้าร่วม 3.7 ล้านครัวเรือน แต่โครงการจำนำกลับหายไปประมาณ 1.5 ล้านครัวเรือน ซึ่งกลุ่มนี้ปลูกข้าวไว้กินเอง ไม่มีขายจึงไม่ได้ผลประโยชน์จากโครงการจำนำ
ขณะนี้ มีชาวนาภาคอีสานร้องเรียนมาที่ตน เพื่อขอให้ได้ประโยชน์จากโครงการบ้าง อย่างในกรณีโครงการประกันรายได้นั้นปลูกข้าวไว้กินเอง ยังได้รับเงินส่วนต่าง
"เขาเสนอรัฐบาลผ่านมาทางผม ขอให้แบ่งโซนในการดูแลแทรกแซงข้าว โดยภาคอีสานขอให้เป็นแบบประกันรายได้ เพื่อชาวนารายย่อยได้ประโยชน์จริงๆ ด้วย ขณะที่ภาคกลางเขตชลประทานจะเป็นแบบรับจำนำก็ได้ ให้คละเคล้ากันไป"
ส่วนกรณีได้รับเงินจากโครงการจำนำช้านั้น โดยข้อเท็จจริงได้เงินช้าจริง ในหลายจังหวัดได้เงินช้าเป็นระยะเวลากว่าเดือนหลังออกใบประทวน ซึ่งในส่วนนี้เป็นภาระกับชาวนา เพราะมีหนี้สินที่ต้องไปจ่าย และยังต้องจ่ายค่าเทอมให้บุตร-หลานในช่วงเดือนพ.ค. ที่ผ่านมา และที่สำคัญยังเป็นอุปสรรคในการลงทุนการผลิตรอบต่อไปด้วย
"ยอมรับว่าเงินล่าช้า ก็เห็นใจรัฐบาล แต่ชาวนาพอเกี่ยวข้าวอยากได้ตังค์" นายประสิทธิ์ ระบุ
นพ.วรงค์ กล่าวว่า หลังจากเกษตรกรได้รับเงินล่าช้าจากรัฐบาล จำเป็นต้องไปกู้เงินนอกระบบดอกเบี้ยอัตรา 3% ต่อเดือน กว่าจะได้รับเงินมาก็เป็นหนี้เป็นสินไปแล้ว
"ที่ได้เงินช้าเพราะช่วงหลังรัฐบาลกำหนดวงเงิน 4.1 แสนล้าน แต่ตอนนี้ใช้เงินเต็มแล้ว ขายไม่ออก เพราะไปโกงกันเยอะ และไม่ได้ขายจริง ปีแรกรับข้าวไป 22 ล้านตัน ปีที่ 2 ตั้ง 15 ล้านตัน แต่นาปีอาจสูง 16 ล้านตัน จากเป้า 15 ล้านตัน ซึ่งน่าแปลกใจ ขณะที่รอบ 2 ตั้งไว้ 7 ล้านตัน ขณะนี้ใช้เงินไป 6.1 แสนล้านบาท และขาดทุนไป 2 แสนล้าน"
นอกจากปัญหาเรื่องระบบการเงินแล้ว รัฐบาลทำโครงการนี้แบบปกปิดข้อมูล โดยการขายข้าวจีทูจีเป็นความลับ อาจเป็นเพราะขายได้น้อย แถมยังมีการรั่วไหลมาก โดยบริษัทค้าข้าวใกล้ชิดซื้อข้าวจากรัฐ 1.2 หมื่นบาทต่อตัน
"มีคนทำงานเรื่องข้าวอยู่เบื้องหลังรัฐบาล ขณะนี้มีการปิดข้อมูล สภาตรวจข้าวทำหน้าที่ดีๆ กระทรวงพาณิชย์ยึดอำนาจกลับดึงข้อมูลให้สำนักมาตรฐาน กรมการค้าต่างประเทศดู เพราะสั่งได้เพื่อปิดข้อมูล"
นายประสิทธิ์ กล่าวว่า เขาเห็นใจ ธ.ก.ส. ซึ่งรู้ข้อมูลรู้เรื่องราวต่างๆ มาก เห็นใจเจ้าหน้าที่ ธ.ก.ส. มีชาวนาหลายคนในโครงการนาปรัง นาปี ทุกคนมาถามว่ารัฐบาลจะมีเงินจ่ายหรือไม่ กระแสข่าวออกมาว่ารัฐจะเปลี่ยนนโยบายบางส่วน ไม่รับทุกเม็ด แต่มาตั้งเรทเท่าไร ยังไม่ทราบ และมีบางส่วนให้ชาวนาเก็บข้าวไว้ แล้วรัฐจะสร้างไซโลให้นำข้าวไปเก็บ ถ้าทำอย่างนี้จะล้มเหลวอีกอันหนึ่ง การสร้างไซโล เป็นไปไม่ได้ สมมติ 1 ตำบล มี 100 หลังคาเรือน นำข้าวไปใส่ไซโล รวมกันไม่ได้ ต้องทะเลาะกัน ของใครข้าวสด ใครข้าวแห้ง ตัดทอนความชื้น เถียงกัน ทะเลาะกัน ขอให้รัฐเลิกคิดที่จะทำแบบนี้
นายประสิทธิ์ กล่าวว่า เขาเคยเสนอทางออกให้กับรัฐบาลในการปรับปรุงโครงการ ให้เลิกจำนำทุกเม็ดแล้วเปลี่ยนเป็นจำกัดวงเงินต่อครัวเรือนแทน เช่น 5 แสนบาทต่อครัวเรือน ซึ่งตอนนี้ยังมีปัญหาเพราะกรณีเกิน 5 แสนบาทเล็กน้อย รัฐบาลจะตรวจสอบเอาเอกสารเพิ่มยุ่งยาก ใครเกินมาเล็กน้อยเขาจะไม่ยอมนำเข้าโครงการเพราะเสียเวลา
"ก่อนที่รัฐจะปรับอะไร ทำอะไร อยากให้คิด ปรึกษาผู้รู้ รมต.ไม่ค่อยรู้ แต่ปรึกษากับเราชาวนาได้ ต้องมีเหตุมีผลพอ ถ้าจะปรับโครงการ ตั้งเรทเท่าไร เคยเสนอครัวเรือนไม่เกิน 5 แสนบาท ขายข้าวหมดก็คือหมด กรณีตั้งครัวเรือนละ 5 แสน ชาวนา 30-40 ไร่ ขายได้ 3-4 แสนบาทยังไม่เต็มวงเงินเลย ซึ่งเป็นการช่วยชาวนารายย่อยที่แท้จริง "
นพ.วรงค์ กล่าวว่า จำนำข้าวมีปัญหาระยะยาว ไม่มีใครพัฒนาสายพันธุ์ ชาวนาได้ประโยชน์ 2 กลุ่มในโครงการจำนำ คือ พวกมีอำนาจต่อรอง มีพรรคพวกเยอะส่วนนี้มีแค่ 20% มีความรู้ การศึกษา อย่างผมไปทำนาไม่มีใครกล้าโกงคน 20% นี้ มีข้าวในปริมาณ 80% แต่ขณะที่ชาวนา 80% มีข้าวและได้ประโยชน์เพียง 20% ของเงินที่จ่ายลงไป
นายประสิทธิ์ กล่าวว่า ต้องยอมรับว่าขณะนี้โครงการมีปัญหามาก ซึ่งรัฐบาลมีอายุ 4 ปี เหตุใดไม่วางรากฐาน เรื่องเมล็ดพันธุ์ ลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต การตลาด ไม่เห็นรัฐจะดำเนินการ ซึ่งต่อไปนี้ต้องพัฒนา จะต้องลดต้นทุน นำข้าวมีคุณภาพขึ้นมา รัฐทำตลาดให้ชัดเจน ตลาดล่างอย่าไปสนใจ นำสายพันธุ์ดี รัฐสนับสนุนเงินทุนให้เอาออกมา ยังไม่เห็นนโยบายของรัฐบาล ซึ่งตนไม่อยากเห็นประชานิยม ที่ไม่สร้างความเข้มแข็ง แต่อยากให้มีการพัฒนาคุณภาพ ลดต้นทุน โซนนิ่ง เพราะต่อไปสร้างชีวิตให้เขาดีขึ้น
นายประสิทธิ์ กล่าวว่า การเมืองเป็นรากฐานไปสู่การเปลี่ยนแปลง นโยบายแต่ละพรรคมองประโยชน์ชาวนา มีชีวิตมั่นคง แต่ทุกวันนี้นโยบายข้าวสอบตกหรือให้ผ่านแค่เฉียดฉิวเท่านั้น มีแต่นโยบายให้ตัวเองได้รับเลือกตั้ง ไม่มีความมั่นคงยั่งยืน ถ้าผมให้คะแนน 10 ผมให้แค่ 6 คะแนน โครงการดีแต่ต้องแก้ไข ไม่ใช่ทู่ซี้ทำไป ตอนนี้ชาวนาวิตกว่าต่อไปจะได้เงินไหม
ขณะที่ นพ.วรงค์ กล่าวตอนท้ายว่า ทุกรัฐบาลต้องพัฒนาคุณภาพ ความรู้ ลดต้นทุน ปัจจัยการผลิต การรวมกลุ่มเกษตรกร 2 ปีที่ผ่านมาไม่ได้ทำ ที่สำคัญ เดือนต.ค. ที่จะมาถึง กับการรับจำนำรอบใหม่ ยังมองไม่ออกว่าจะนำเงินมาจากไหน เพราะหากว่ากู้เพิ่มก็มีกระแสสังคมกดดัน เพราะใช้เงินไปเยอะมาก แล้ว คงมีกระแสคัดค้านหนักหน่วงแน่ ซึ่งต้นปีหน้าน่าจะถึงจุดจบของโครงการ แต่รัฐบาลอาจหาเหตุผลยุบสภา โดยอ้างเรื่องอื่น เช่น การแก้รัฐธรรมนูญ การแก้ความขัดแย้ง ก่อนมาตั้งโต๊ะกันใหม่







