นุสรา ธนวิวัฒน์ ทายาท'ครัวเจ๊ง้อ'

นุสรา ธนวิวัฒน์ ทายาท'ครัวเจ๊ง้อ'

"ครัวเจ๊ง้อ" ต้นตำรับความอร่อยมิรู้ลืมไปทั่วกรุง นุสรา ธนวิวัฒน์ พร้อมเผยตัวตนที่เปลี่ยนแปลงไปเพราะ "สัจจะแห่งธรรม" ที่มีความสงบเย็น

ครัวเจ๊ง้อ ที่หลายคนชื่นชมในความเอร็ดอร่อย รู้หรือไม่ว่าจุดเริ่มต้นนั้นแสนจะง่ายมากๆ นั่นคือ แรงสนับสนุนจากเพื่อนๆของเจ๊ง้อที่เห็นว่า เจ๊ง้อมีความรักในการทำอาหาร อีกทั้งอาหารที่ทำก็อร่อยมาก จึงอยากให้เปิดร้านอาหารเพื่อที่เพื่อนๆในวงแชร์จะได้มาทานกันได้

จากความคิดจุดเล็กๆนี้เองจึงทำให้เกิดร้านอาหารเล็กๆขึ้นตรงสี่พระยา ซึ่งในปัจจุบันถือเป็นสาขาแรกของร้านอาหารครัวเจ๊ง้อ แต่เมื่อลงมือทำ สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น นั้นคือลูกค้าไม่ได้มีแค่เพียงในเฉพาะวงแชร์เท่านั้นที่มาทาน เพียงระยะเวลาสั้นๆแค่ 6 เดือน เสียงลือเสียงเล่าอ้างปากต่อปากถึงความอร่อย ทำให้คนต่างหลั่งไหลมาลิ้มลองกัน เมื่อกระแสดี แน่นอนว่าสิ่งที่ตามมานั้นก็คือ คนมากินเยอะขึ้นจนน่าตกใจ นี่จึงเป็นสาเหตุให้ต้องเปิดสาขารองรับลูกค้า จนตอนนี้ร้านอาหารครัวเจ๊ง้อเองมีสาขาทั้งหมดถึง 9 สาขาทั่วกรุงเทพมหานคร

นี่คือคำบอกเล่าจากลูกสาวคนเก่งที่ปัจจุบันมานั่งแท่นบริหารงานแทนเจ๊ง้อในตำแหน่ง กรรมการผู้จัดการ และผู้บริหารธุรกิจร้านอาหาร ครัวเจ๊ง้อ นุส - นุสรา ธนวิวัฒน์

เธอคนนี้หากมองผิวเผินเธอเป็นคนที่เปรี้ยว ซ่า มั่นใจในตนเองสูงมาก ช่างแต่งตัวในสไตล์สีสันจัดจ้าน ทำให้กายใจเองเกิดความสนใจในตัวเธอว่าจริงๆแล้วนั้นเธอเป็นเช่นภาพที่เราเห็นเพียงผิวเผินหรือไม่ จึงเป็นที่มาถึงคำถามโดยให้นุสรานิยามถึงความเป็นตนเองในความคิดของเธอ

นิยามตนเอง

ในใจของนุสเอง นุสยอมรับค่ะว่านุสเป็นคนแรง แต่เป็นความแรงในแบบที่เรียกว่าเป็นคนตรงๆมากกว่า ชอบความยุติธรรม หากมีอะไรที่เราคิดว่ามันไม่ใช่ มันจะเกิดคำถามขึ้นภายในใจว่า “ทำไมล่ะ” แต่ไม่ได้ถึงขนาดที่ว่าตรงขนาดไม้บรรทัดขนาดนั้นค่ะ

ความที่เป็นคนแรงส่งผลอย่างไรกับตัวเรา

ความแรงบางครั้งก็ถือเป็นข้อดี บางทีก็เป็นข้อเสีย ในสังคมปัจจุบันการที่เราตรงเกินไปทำให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดี ยิ่งเมื่อได้มาบริหารครัวเจ๊ง้อ ในช่วงแรกที่ทำบอกตามตรงเลยว่าส่งผลเสียมากๆ ยิ่งต้องทำงานกับคนที่เยอะด้วยปัญหามันย่อมเกิดเยอะเป็นเงาตามตัว แต่นุสเองถือว่ายังโชคดีตรงที่ มีโอกาสได้มาเจอเส้นทางที่ทำให้นุสรู้จักการจัดการตนเอง นั่นคือธรรมะ

นุสได้มีโอกาสไปปฏิบัติธรรมที่ศูนย์วิปัสสนาเชียงใหม่เป็นเวลา 8 วัน 7 คืน ภายใต้การดูแลของอาจารย์พิชัย และ อาจารย์ศิริพร กรรณกุลสุนทร ถือเป็นความโชคดีที่ปีนั้นนุสได้เข้าอบรมถึง 3 ครั้ง มันทำให้ชีวิตนุสเปลี่ยนไปเยอะมากจริงๆ

อุปนิสัยเปลี่ยนตรงจุดไหนบ้าง

คือจากคนที่เป็นคนใจร้อนมากๆ เราก็สามารถที่จะควบคุมใจเราได้ ไม่ให้โทสะมาควบคุมจิตของเราได้ จากที่เมื่อก่อนโทสะมาง่ายๆทันทีทันใด ตอนนี้เราจะพิจารณาได้ โทสะเหล่านี้กว่าจะควบคุมเราได้ก็ช้าลงไปเยอะ ไม่ใช่ว่าจากใจร้อนเป็นใจเย็นไม่ถึงขนาดนั้น

แต่หากมีเหตุการณ์อะไรที่ทำให้เราไม่สามารถควบคุมโทสะได้ก็จะรู้ตัวเอง แล้วเดินออกจากตรงนั้นไปก่อน แล้วพยายามนับ 1 แล้วนับไปเรื่อยๆจนใจเราเย็นลง ถือว่าธรรมะมีส่วนอย่างมากที่ทำให้นุสสามารถบริหารจัดการคนได้

ยกตัวอย่างอารมณ์ร้อนของเรา

เวลาที่เราเกิดโทสะ โมหะก็จะเข้ามาครอบงำ เมื่อเราปฏิบัติธรรม เราจะเกิดปัญญา ให้สามารถพิจารณาตัดโทสะ ตัดโมหะของเราออกไป ขอเล่าเหตุการณ์ในอดีตให้ฟังที่บอกว่าใจร้อน ร้อนขนาดไหน

นุสขับรถอยู่บนทางด่วน มีคนขับรถปาดหน้า แล้วเฉี่ยวกระจกรถเรา โดยที่ยังคงขับต่อไปไม่มีทีท่าจะชะลอเพื่อลงมาขอโทษแต่อย่างใด เท่านั้นเองนุสปี้ด!(เสียงสูง) ขึ้นมาเลย เกิดคำถามในใจว่าทำไมทำแบบนี้ เลยขับรถตามไปในทันที แล้วขับจอดตัดหน้ารถคันที่เฉี่ยวนุส โดยไม่สนใจว่าจะเป็นอะไรหรือเปล่า ตอนนั้นคิดแค่ว่าไม่สนจะชนก็ชนสิ อันนี้คุณแม่ก็ไม่ทราบ คิดว่าคงจะได้ทราบในวันนี้ หลังจากนั้นนุสก็ลงจากรถเข้ามาหาคนขับรถคันที่เฉี่ยวนุส อาการเขาคือ งงมาก แล้วถามนุสว่า “มีอะไรหรือเปล่าครับ” นุสก็บอกว่า”คุณเฉี่ยวรถฉัน ทำไมถึงไม่ลงมาขอโทษ”เขาก็ถามกลับมาว่า “แล้วคุณต้องการอะไร” นุสจึงบอกว่าต้องการแค่คำขอโทษ เขาจึงได้ขอโทษกลับมา วินาทีนั้นตอนที่ไปเปิดประตูรถเขาพูดได้คำเดียวเลยว่า ไม่มีความกลัวเลยแม้แต่น้อย นั่นคืออดีตเราเป็นแบบนั้น

ในชีวิตจริงในปัจจุบันนุสคิดว่ามันอันตรายมาก โทสะมันสามารถครอบงำแทนจิตให้เราทำ โดยไม่คำนึงถึงผลที่จะตามมาเลย

พี่น้องทั้ง 5 คน ใจร้อนที่สุดหรือเปล่า

นุสยังแพ้พี่ชายคนโตค่ะ พี่ชายใจร้อนกว่านุสเยอะ แต่ถ้าให้เทียบจริงๆในทุกๆด้านและทุกเรื่องในบรรดา 5 คนพี่น้อง นุสจะเป็นเหมือนแกะดำของบ้านค่ะ

ทำไมแกะดำจึงได้รับความไว้วางใจให้มาบริหารครัวเจ๊ง้อ

ต้องบอกว่าอาจเนื่องด้วยในอดีต นุสเองเป็นแอร์โฮสเตสของสายการบินไทยมาก่อนที่จะมาบริหารก็ได้ นุสทำงานตรงนั้นเป็นเวลาถึง 16 ปี มีความเชี่ยวชาญทางด้านการบริการ และมีทักษะทางด้านภาษาสื่อสารกับชาวต่างชาติได้ดี บวกกับช่วงหลังมาที่ร้านครัวเจ๊ง้อเอง ชาวต่างชาติมาใช้บริการเยอะมาก ถึงขนาดที่บางวันไม่มีคนไทยมาใช้บริการที่ร้านเลยก็มี มีแต่ชาวต่างชาติเต็มไปหมด จึงทำให้ทักษะทางด้านนี้ของเราทำประโยชน์อย่างมากต่อทางร้าน

บริหารครัวเจ๊ง้อมา 7 ปีสิ่งที่สร้างความหนักใจคืออะไร

คือการบริหารคนค่ะ อันนี้แก้ยากจริงๆ ทุกวันนี้นุสต้องแก้ที่ตัวเอง ไม่ใช่แก้ที่เขา ถามว่า ทำไมจึงต้องแก้ที่ตนเอง เพราะเขาเป็นคนส่วนมาก แต่เราน่ะคือคนส่วนน้อย คนเพียงแค่คนเดียวจะไปแก้คนอื่นน่ะมันเป็นไปไม่ได้

ต้องแก้ที่ตัวเราให้ยอมรับคนส่วนใหญ่ให้ได้ ลำพังตัวเราก็เยอะอยู่แล้ว ถ้าไปแก้คนอื่นยิ่งเยอะเข้าไปอีก เมื่อยอมรับเราก็จะมีวิธีแก้ไข ให้สามารถรับมือและควบคุมเขาได้

ยกตัวอย่างการแก้ไขตนเองในการบริหารคน

ง่ายๆเลยค่ะ คือหากเราอยากทานอาหารอะไร เวลาที่เราสั่งไปเราจะไม่เคยได้อาหารที่เราอยากทานเลย สมมุติว่าสั่งสุกี้น้ำ ใส่ลูกชิ้นปลา เนื้อหมู ขอผักกาดขาวเยอะๆ เมื่อสั่งเสร็จแล้วมาเสิร์ฟปรากฏว่า มีแค่ ลูกชิ้นปลา เนื้อหมู และผักกาดขาว คือตามความเข้าใจของนุส คือผักอย่างอื่น วุ้นเส้น จะต้องมีประกอบด้วย โดยเน้นที่ผักกาดขาวเยอะๆ อะไรประมาณนั้นค่ะ

สมัยที่มาดูแลร้านแรกๆเราจะปี้ดทันที ว่า ทำไมถึงไม่ได้ตามที่ฉันสั่ง แต่เมื่อเราขัดเกลาตนเองโดยพยายามพาตนเองไปปฏิบัติอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เราก็ได้มีโอกาสอยู่กับตนเองแล้วพิจารณาว่า ผิดที่เขา หรือผิดที่เรา ที่สื่อสารไม่เข้าใจ สมัยก่อนเราจะคิดตลอดเวลาว่าเขาผิด เขาฟังเราไม่รู้เรื่อง พอมานั่งคิดจริงๆแล้วมันผิดที่เรานะ เราสื่อสารด้วยประโยคที่ยาวมากๆเขาจำไม่ได้ทั้งหมดที่เราพูด จึงแก้ปัญหาด้วยการจดแทน

เมื่อแก้ที่ตนเอง ผลดีที่ได้รับกลับมาคืออะไร

ผลที่ได้รับกลับมา คือมันดีหมดทุกอย่างเลยค่ะ การแก้ที่ตัวเราสอนให้เราคิดและพิจารณาตัวเรามากขึ้น จะทำให้เราหยุดคิดว่าก่อนจะทำอะไร เราควรที่จะสั่งเขาอย่างไรเพื่อให้ได้สิ่งที่เราต้องการมากที่สุด

จัดการอย่างไรเมื่อลูกค้าร้องเรียนมา

ก็จะรีบแก้ไขอย่างทันที เพราะถือว่าเป็นชื่อเสียงของทางร้าน แต่ต้องบอกว่าค่ะว่า คงเป็นเพราะบุญกุศลที่ทำให้ลูกค้าร้องเรียนมาน้อยมาก ถือเป็นความโชคดีของทางร้านมากๆ แต่อีกหนึ่งสิ่งที่นุสเชื่อเสมอมาตามคำสอนของคุณแม่ก็คือ ให้มีความซื่อสัตย์ ไม่เอาเปรียบ และเอาใจใส่ลูกค้า ทุกอย่างที่คุณแม่สอนมา เราทำตามทั้งหมดโดยไม่มีข้อยกเว้น สิ่งนี้คงส่งผลให้ลูกค้าจึงร้องเรียนเราน้อยมากๆ เรายอมรับว่าราคาเราสูง แต่อาหารเรามีคุณภาพมากๆ รวมถึงการบริการที่ใส่ใจ ถือว่าคุ้มค่ากับเงินที่คุณเสียไปอย่างแน่นอนค่ะ

แม่จะสอนเสมอว่า การที่ลูกค้าร้องเรียนเรา ถือเป็นประสบการณ์ที่ดี ที่เราจะได้ปรับปรุงแก้ไขตัวเราและร้านของเราด้วย

เทคนิคการบริหารสไตล์ของนุสรา ธนวิวัฒน์

ส่วนหนึ่งมาจากคำสอนของคุณแม่ในเรื่องความซื่อสัตย์ อะไรที่ไม่ดีเราบอกกับลูกค้าเลย ขออนุญาตไม่ขายหากสิ่งที่เขาสั่ง แล้วพบว่าวัตถุดิบที่มีมันไม่สดใหม่ ก็จะเดินไปชี้แจงพร้อมขอโทษเขาที่โต๊ะ คือนุสอยากให้ลูกค้าได้ทานในสิ่งที่ดีที่สุด จะไม่เอาเปรียบลูกค้า เพราะเราเชื่อเสมอว่าโลกทุกวันนี้ ธุรกิจมีการแข่งขันที่สูง เพราะฉะนั้นเราต้องจริงใจ และซื่อสัตย์ต่อลูกค้า นั่นคือสิ่งสำคัญที่สุดในการทำธุรกิจค่ะ

ปัญหามีให้แก้ไขเยอะ ปล่อยวางอย่างไร

อันนี้ก็ต้องตัดใจค่ะ ในกรณีที่นุสไปปฏิบัติธรรม 8 วัน 7 คืน ปีหนึ่งมีแค่ครั้งเดียวเอง นุสไม่ได้คาดหวังให้เขาทำให้ได้ตามเป้าที่นุสตั้งไว้ถึง 100 เปอร์เซ็นต์เต็ม แค่เพียง 60 เปอร์เซ็นต์ สำหรับนุส ถือว่าเพียงพอแล้วค่ะ อีกอย่างก็จะมีคุณแม่และพี่ชายที่จะคอยมาดูแลบ้างในช่วงที่นุสไม่อยู่ค่ะ

มองอนาคตครัวเจ๊ง้ออย่างไร

ทุกวันนี้สถานที่ตั้งครัวเจ๊ง้อทุกสาขา เราไม่ได้ตั้งบนที่ดินของเรา ก็ตั้งเป้าไว้ว่าอยากมีร้านที่ตั้งบนที่ดินของเราเอง ไม่ต้องเช่าใคร ซึ่งตอนนี้อยู่ในขั้นตอนการดำเนินการอยู่ค่ะ

ความสุขในสไตล์นุสรา

ความสุขจริงๆของนุส อย่างแรกเลย คือ การที่เราได้กตัญญูกับคุณแม่ สาเหตุที่พูดเรื่องนี้เพราะว่า จริงๆแล้วส่วนตัวนุสเอง ไม่ได้อยากทำธุรกิจร้านอาหารเลย เพราะนุสรักการทำงานเป็นแอร์โฮสเตส แต่ด้วยความกตัญญูจึงลาออก แล้วมาทำธุรกิจของครอบครัวต่อ ซึ่งถือว่าเป็นความสุขที่สุดของชีวิตที่ได้กตัญญูต่อคุณแม่

ความสุขที่สองคือ การได้ปฏิบัติธรรมะ รวมถึง การได้ทำประโยชน์แก่ผู้อื่นในแง่จิตสาธารณะ ซึ่งตรงนี้ก็ได้ทำเสมอมาตามมูลนิธิต่างๆ เช่น ส่งอาหารจากครัวเจ๊ง้อไปช่วย ซึ่งนุสเองมีความเชื่อว่า พนักงานในร้านเขาตั้งใจทำ เขาก็ได้มีส่วนร่วมทำบุญด้วยกันกับเรา เขามีความสุขเราก็มีความสุขไปด้วย มันเป็นความสุขที่ได้ร่วมกันหมดทั้งผู้รับและผู้ให้เลยค่ะ