ยุโรปกับ ‘มาริโอ ดรากิ’ นายกฯใหม่อิตาลี

ยุโรปกับ ‘มาริโอ ดรากิ’ นายกฯใหม่อิตาลี

"มาริโอ ดรากิ" นายกรัฐมนตรีอิตาลีคนใหม่ มารับไม้ต่อช่วงวิกฤติโควิด ท่ามกลางจุดเปราะบางของเศรษฐกิจยุโรป จากรอยต่อการกระจายวัคซีนโควิดกับการถอนเม็ดเงินมาตรการด้านการคลัง อดีตประธานธนาคารกลางยุโรปนี้จะพาอิตาลีผ่านไปด้วยประสบการณ์ 10 ปีก่อนได้หรือไม่?

สัปดาห์ที่แล้วเหมือนมีข่าวดีจากทางการยุโรปที่ประกาศคาดการณ์ตัวเลขเศรษฐกิจครั้งใหม่ โดยมองภาพอนาคตในแง่ที่ดีขึ้น คาดว่ามูลค่าจีดีพีรวมของประเทศส่วนใหญ่ในยุโรปจะกลับมาเท่ากับช่วงก่อนโควิดราวกลางปีหน้า ในขณะที่ประเทศอิตาลีและสเปนจะเกิดขึ้นได้ในช่วงปลายปีหน้า 

แม้จะถือว่าเป็นข่าวดี ทว่าหากพิจารณาให้ดีจะพบว่ายุโรปนั้นยังต้องใช้เวลาอีกหนึ่งปีเต็ม หลังจากที่ประชาชนเข้าถึงวัคซีนได้เป็นส่วนใหญ่แล้ว หรือในกรณีอิตาลีและสเปนนั้นต้องใช้เวลาถึงหนึ่งปีครึ่งเลยทีเดียว ด้วยเหตุนี้จึงจำเป็นต้องมีมาตรการด้านการคลังที่มีความเข้มข้นขึ้นกว่าที่วางแผนไว้ในตอนนี้ โดยหากพิจารณาจากสัดส่วนความช่วยเหลือด้านการคลังต่อจีดีพี จะพบว่ายุโรปยังมีน้อยกว่าสหรัฐหลายเท่าตัว

จุดเปราะบางของมาตรการช่วยเหลือทางเศรษฐกิจยุโรป ณ ตอนนี้ คือช่วงรอยต่อระหว่างการกระจายวัคซีนโควิดล็อตใหญ่ กับการถอนเม็ดเงินจากมาตรการด้านการคลังภาครัฐในการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจ น่าจะเป็นช่วงเวลาเดียวกัน ทำให้มีความเป็นไปได้ว่าอุปสงค์ของสินค้าและบริการในภาคเอกชนซึ่งจะเพิ่มขึ้นจากเศรษฐกิจที่ดีขึ้นผ่านการกระจายของวัคซีน ยังจะไม่เพียงพอกับการลดลงของเม็ดเงินผ่านมาตรการด้านการคลังจากรัฐบาลที่จะหายไปตามที่กล่าวไว้ข้างต้น ซึ่งจากการเปิดเผยของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ พบว่าเยอรมนี สเปน และเนเธอร์แลนด์ จะกลับไปมีนโยบายการคลังที่ตึงตัวในปีนี้เสียด้วยซ้ำ

นอกจากนี้ยังมีบริษัทเอกชนอีกเยอะมากในยุโรปที่ได้รับการอุ้มผ่านเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ ผนวกกับเงินให้เปล่าจากรัฐบาล เพื่อหลีกเลี่ยงการปลดคนงานในช่วงโควิด จะกลับกลายมาเป็นระลอกคลื่นแห่งการล้มละลายของบริษัทเอกชนในยุโรป หลังจากถอดสายน้ำเกลือของรัฐบาลออกไปในช่วงกลางปีนี้ อีกทั้งอาจจะมีความเสี่ยงว่าด้วยประชาชนขาดความมั่นใจ โดยการมองโลกในแง่ดีทั่วยุโรปหลังจากโควิดดีขึ้นอาจจะไม่เกิดขึ้นจริง เพราะความกังวลต่อโควิดได้เปลี่ยนพฤติกรรมของเขาเหล่านั้นไปอย่างถาวร

ท้ายสุด การที่อุปทานที่เกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานที่ได้หยุดการทำงานในช่วงโควิด ไม่ว่าจะเป็นด้านการบิน โรงแรม สถานบันเทิงและร้านอาหารยามค่ำคืน ได้ปิดตัวลงเป็นเวลานาน เมื่อจะกลับมาค่อยๆ เปิดทำการตามปกติ ก็จำเป็นต้องใช้มาตรการด้านการคลังหรือเม็ดเงินที่จะสนับสนุนด้านรายได้เพิ่มเติมเพื่อจะให้สามารถกลับมาดำเนินงานได้แบบปกติอีกครั้ง

ด้านสถานการณ์ฝั่งสหรัฐ แม้ว่าจะมีนักเศรษฐศาสตร์ระดับบิ๊กเนมบางท่านออกมาแสดงความกังวลต่องบประมาณ 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ของสหรัฐที่กำลังต่อรองกันในสภาคองเกรส ว่าถือเป็นการใช้งบที่มากกว่าความเสียหายจากโควิดที่เกิดขึ้นจริง ซึ่งอาจจะส่งผลต่ออัตราเงินเฟ้อให้สูงขึ้นแบบคาดไม่ถึง ทว่าสำหรับยุโรปนั้นแตกต่างจากของสหรัฐทั้งในมิติของปริมาณเงินช่วยเหลือและอัตราเงินเฟ้อโดยสิ้นเชิง นั่นคือแม้จะกระตุ้นมากอย่างไร ณ ตอนนี้ก็คงจะไม่สามารถกระตุ้นให้เงินเฟ้อขึ้นมาสู่อัตราเป้าหมายได้อย่างรวดเร็วในช่วงนี้ รวมถึงความเสียหายจากโควิดก็บอบช้ำกว่าสหรัฐเสียอีก

คราวนี้ มาถึงนายกรัฐมนตรีอิตาลีท่านใหม่แบบถอดด้ามที่พวกเราคุ้นเคยเป็นอย่างดีอย่าง มาริโอ ดรากิ อดีตประธานธนาคารกลางยุโรปที่จังหวะนี้ที่มารับไม้ต่อ ถือว่ามาตอบโจทย์ของสถานการณ์ในอิตาลี รวมถึงยุโรปที่กล่าวไว้ข้างต้นแบบลงตัวด้วยประสบการณ์ที่เคยพายุโรปออกจากวิกฤติครั้งก่อนเมื่อราว 10 ปีก่อน

โดยมี 2 ขุนพล อย่าง รมต.คลังอิตาลี นามว่า ดาเนียล ฟรังโก้ ที่คลุกคลีในวงการกระทรวงการคลังและธนาคารกลางอิตาลีมาตลอดชีวิตการทำงาน ซึ่งน่าจะสามารถใช้ความสามารถของเขาในการบริหารงบลงทุน 2 แสนล้านยูโร จาก EU Recovery Fund ให้เป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจอิตาลี ภายใต้อัตราส่วนหนี้ภาครัฐต่อจีดีพีของอิตาลีกว่าร้อยละ 120 โดยไม่ก่อให้เกิดความเสี่ยงด้านการคลังให้มากกว่าในปัจจุบัน

อีกทั้ง ยังมี รมต.ที่จะจัดการกระตุ้นผ่านการลงทุนภาคธุรกิจอย่าง วิโทริโอ โคลาโอ อดีตซีอีโอของโวดาโฟน ที่ว่ากันว่าเป็นนักธุรกิจที่เก่งที่สุดคนหนึ่งในวงการโทรคมนาคมของยุโรป ซึ่งจะเป็นผู้นำงบ 2 แสนล้านยูโรจาก EU Recovery Fund มาลงทุนในโครงการต่างๆ ให้เกิดประโยชน์ต่อเศรษฐกิจอิตาลีให้มากที่สุด

ท้ายสุด ดรากิยังต้องมีงานหนักที่ต้องทำระบบกฎหมายของอิตาลีให้สามารถเอื้อให้ต่างชาติสามารถมาลงทุนทำธุรกิจในอิตาลีได้ง่ายขึ้น โดยที่เกือบปราศจากปัญหาระบบราชการและคอร์รัปชันที่มีมาอย่างยาวนาน