เปิดแผนคืนเงินผู้ถือหน่วย‘4กองทุน’  ‘ทีเอ็มบีอีสท์สปริง’ลั่น3เดือนจบ

เปิดแผนคืนเงินผู้ถือหน่วย‘4กองทุน’   ‘ทีเอ็มบีอีสท์สปริง’ลั่น3เดือนจบ

วิบากกรรมบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทหารไทย จำกัด หรือ “บลจ.ทีเอ็มบี อิสท์สปริง” เริ่มเห็นสัญญาณที่ดี หลังถูกผลกระทบโดยตรงจากการแพนิกในตลาดตราสารหนี้เล่นงาน

จนก่อให้เกิด ปัญหาการบริหารจัดการ "สภาพคล่อง" ของกองทุนอย่างหนัก และทำให้มีความจำเป็นต้องปิด 4 กองทุนตราสารหนี้ลง ได้แก่ กองทุนเปิดทหารไทย ธนเพิ่มพูน,กองทุนเปิดทหารไทย ธนไพบูลย์, กองทุนเปิดทหารไทย ธนพลัส และกองทุนเปิดทหารไทย ธนไพศาล หลังจากมีแรงขายต่อเนื่องของผู้ถือหน่วยลงทุนตลอดช่วง 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมา

โดยความคืบหน้าล่าสุด   “บุญชัย เกียรติธนาวิทย์” รักษาการกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทหารไทย จำกัด หรือ TMBAM Eastspring ได้ออกมาอัพเดตและให้ความมั่นใจกับผู้ถือหน่วยที่ค้างอยู่ใน 4 กองทุนดังกล่าวว่า ได้เตรียมแผนการจัดสรรเงินคืนให้ลูกค้าทั้ง 4 กองทุนเรียบร้อยแล้ว โดยคาดว่ากระบวนการจัดสรรเงินคืนจะแล้วเสร็จทั้งหมดภายใน 90 วัน ตามกฎของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แต่ถ้ามีความจำเป็นที่อาจจะไม่สามารถทำได้ หรือหากไม่สามารถขายทรัพย์สินได้ทันในระยะเวลาดังกล่าว อาจจะขอขยายระยะเวลาเพิ่มไปอีก 90 วัน

พร้อมยืนยันว่า สินทรัพย์ที่กองทุนดังกล่าวเข้าไปลงทุนเป็นสินทรัพย์ที่ดี แต่เจอเหตุการณ์พิเศษที่เจอผลกระทบจากโควิด-19 จึงทำให้มีแรงขายออกมา ซึ่งทางบลจ.ทีเอ็มบี อิสท์สปริง เข้าใจและอยากให้มีสภาพคล่องให้กับผู้ลงทุน โดยเฉพาะช่วงนี้ที่เป็นช่วง work from home โดยผู้ลงทุนจะได้รับเงินคืนจากการที่กองทุนของ TMBAM Eastspring จะทยอยขายออกมา

ทั้งนี้ในส่วนการจัดสรรเงินคืน เบื้องต้นตอนนี้บลจ.ทีเอ็มบี อิสท์สปริง ได้เข้าไปดูตราสารที่เข้าไปลงทุนว่าสินทรัพย์ไหนที่ครบกำหนดอายุภายใน 3 เดือนข้างหน้า และมีจำนวนเท่าไหร่บ้าง เพื่อนำมาจ่ายคืนให้กับผู้ลงทุนของแต่ละกองทุน และมีการกำหนดตารางจ่ายตั้งแต่ภายใน 2 สัปดาห์ไปจนถึง 3 เดือน โดยคร่าวๆอัตราการจ่ายสูงสุดในวันนี้ไม่เกิน 10% ของมูลค่าทรัพย์สิน

“3 เดือนที่เราดูจากกระแสเงินรับ จากการที่ตราสารต่างๆครบอายุ เราได้จัดทำเป็นตารางว่าเราจะจ่ายเงินคืนประมาณการขั้นต่ำให้กับผู้ลงทุนของแต่ละกองทุน มีตั้งแต่จ่ายภายใน 2 สัปดาห์ ถึง 3 เดือน ซึ่งตารางอันนี้สามารถเข้าไปดูได้ที่เว็บไชต์ TMBAM Eastspring”

สำหรับอัตราส่วนที่จะคืนนั้น แบ่งไปตามอัตราส่วนในแต่ละกองที่แตกต่างกันตามตราสารหนี้ในแต่ละกอง เช่น กองทุนเปิดทหารไทย ธนพลัส จะมีตราสารหนี้ระยะสั้นจำนวนมาก ส่วนอีก 3 กองที่เหลือเน้นระยะกลางถึงระยะยาว (แต่ละกองทุนจะคืนในอัตราที่ไม่เหมือนกันขึ้นอยู่กับว่าลงทุนในตราสารระยะสั้น หรือระยะยาว) ส่วนหลังจากนี้ทุก 2 สัปดาห์ บริษัทจะพิจารณาถึงความสามารถการจัดสรรเงินคืน จากตราสารที่ครบอายุในช่วงเวลาดังกล่าวว่าจะมีมากน้อยเพียงใดเพื่อให้นักลงทุนมีสภาพคล่องเพิ่มในภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน

อย่างไรก็ตาม คาดว่าภายใน 1 เดือนจากนี้ ผู้ลงทุนจะได้รับเงินคืนสูงสุดไม่เกิน 20% ของมูลค่าทรัพย์สิน ทั้งนี้ เป็นประมาณการขั้นต่ำจากสินทรัพย์ที่ครบอายุ 3 เดือนจากนี้ และหากระหว่างนั้นตลาดตราสารหนี้กลับมาสู่ภาวะปกติได้เร็ว บริษัทจะยิ่งทยอยขายตราสารหนี้

“ขอเน้นย้ำว่าการขายสินทรัพย์จะต้องดูสภาพตลาดประกอบด้วย โดยจะขายที่ราคาเป็นธรรมและเป็นราคาที่เหมาะสม ซึ่งเป็นความตั้งใจของกองทุนที่อยากให้ผู้ลงทุนจะได้รับเงินคืน ณ NAV ณ วันปิดกองทุน แต่ขึ้นอยู่กับภาวะตลาดอนาคตด้วย”

 "บุญชัย" ระบุเพิ่มเติมว่า  วานนี้ (30มี.ค.2563) ถือเป็นวันแรก ที่จะจัดสรรเงินคืนครั้งแรกให้ผู้ถือหน่วยลงทุนทั้ง 4 กองที่ปิดไป ขณะที่ประเมินเบื้องต้นว่าจะไม่มีการปิดกองทุนเพิ่มเติม เพราะได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐทุกหน่วยงานที่อยากให้ตราสารหนี้เป็นเครื่องมือในการลงทุนในตลาดทุน

“เชื่อว่าทั้งแบงก์ชาติ (ธนาคารแห่งประเทศไทย) สำนักงานก.ล.ต. รวมถึงกระทรวงการคลัง ซึ่งถือเป็นหน่วยงานภาครัฐที่เป็นเสาหลักของตลาดการเงินไทย ยังสนับสนุนเต็มที่ เพราะอยากให้กองทุนตราสารหนี้เป็นเครื่องมือทางการเงินในตลาดการเงินที่พัฒนาแล้ว ดังนั้นดูแล้วไม่มีใครอยากให้ปิด ผมประเมินว่าคงจะไม่มีกองทุนไหนปิดอีก "

นอกจากนี้ ด้านธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TMB ที่ถือหุ้นใน TMBAM Eastspring สัดส่วน 35% จะมีการออกโปรแกรมสินเชื่อระยะสั้นในอัตราพิเศษให้กับนักลงทุนใน 4 กองทุนดังกล่าวไม่ว่าจะเป็นนิติบุคคล หรือบุคคลธรรมดา เพื่อเสริมสภาพคล่องให้นักลงทุนในอัตราพิเศษ ซึ่งจะออกประกาศออกมาภายในเร็วๆนี้

อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องติดตามว่าหลังจากที่บลจ.ทีเอ็มบี อิสท์สปริง ประกาศแผนการจัดสรรเงินคืนให้แก่ลูกค้าทั้ง 4 กองทุนตราสารหนี้ออกมา จะส่งผลต่อบรรยากาศการลงทุนในกองทุนรวมอื่นๆอย่างไรบ้าง ซึ่งปรากฎการณ์ดังกล่าวก็สร้างความท้าทายให้กับอุตสาหกรรมกองทุนรวมไทย ที่นักลงทุนหลายคนยังหวั่นว่าอาจก่อตัวเป็น “ไฟลามทุ่ง”ได้