ส่องแนวโน้ม‘ส่งออก’ไทย ท่ามกลางวิกฤติ‘โควิด-19’

ส่องแนวโน้ม‘ส่งออก’ไทย  ท่ามกลางวิกฤติ‘โควิด-19’

ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือ โควิด-19 ( COVID-19)  ที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นทั่วโลก และส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในวงกว้าง

จนทำให้หลายฝ่ายคาดว่า เศรษฐกิจโลกปี 2563 อาจเข้าสู่ภาวะถดถอย (Recession) อีกครั้งในรอบกว่า 10 ปี นับตั้งแต่วิกฤติ Hamburger 

 แน่นอนว่าเศรษฐกิจไทยเองก็จะได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ทั้งทางตรงและทางอ้อมในหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นการท่องเที่ยว การบริโภคและการลงทุน รวมถึง “การส่งออก” ซึ่งเป็นเครื่องยนต์ใหญ่ที่สุดในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย 

ล่าสุดเมื่อวันที่ 23 มี.ค.2563 กระทรวงพาณิชย์ได้ประกาศตัวเลขการส่งออกเดือนก.พ. 2563 ออกมาหดตัว 4.5%  “ดีกว่า” ที่หลายฝ่ายคาด โดยนอกจากจะได้อานิสงส์จากการส่งออกทองคำที่ขยายตัวถึง 180% แล้ว มีข้อสังเกตว่าตลาดส่งออกสำคัญของไทยที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตจาก COVID-19 ในสัดส่วนสูงทั้งจีน EU สหรัฐฯ ตะวันออกกลาง เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น ซึ่งมีสัดส่วนรวมกันคิดเป็นเกือบ 50% ของมูลค่าส่งออกรวมของไทย หดตัว “น้อยกว่าที่คาด โดยมีประเด็นที่น่าสนใจ ดังนี้

ตลาดจีน หดตัว 2% เนื่องจากการส่งออกสินค้าบางส่วนได้รับผลกระทบจาก COVID-19 โดยเฉพาะการส่งออกผลไม้สดและผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังที่หดตัวสูงจากการปิดด่าน/ปิดท่าเรือ ขณะเดียวกันสินค้าที่เกี่ยวข้องกับราคาน้ำมันก็หดตัวต่อเนื่องจากเศรษฐกิจจีนที่ชะลอลง 

อย่างไรก็ตาม การหดตัวดังกล่าวเป็นการหดตัวที่น้อยกว่าที่หลายฝ่ายคาด (หลายฝ่ายคาดว่าการส่งออกไปจีนอาจหดตัวสูงจากการที่จีนมีการปิดเมืองในหลายเมือง ซึ่งอาจกระทบกำลังซื้อและ Supply Chain) เนื่องจากได้ปัจจัยสนับสนุนจากสงครามการค้าที่ผ่อนคลายลง ทำให้สินค้าที่เคยถูกกดดันจากปัจจัยดังกล่าวกลับมาขยายตัวดี อาทิ ผลิตภัณฑ์ยาง รถยนต์และเครื่องยนต์สันดาปฯ คอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ เป็นต้น 

ตลาด EU ขยายตัว 1.2% โดยเฉพาะตลาดอิตาลีและเยอรมนีที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตเร่งตัวขึ้นมากยังขยายตัวได้เล็กน้อย จากเครื่องปรับอากาศและเครื่องยนต์สันดาปที่ขยายตัวสูง ทั้งนี้ การที่ตัวเลขการส่งออกของไทยไปตลาด EU โดยรวมยังขยายตัว อาจเป็นเพราะในเดือนก.พ.ยังไม่เกิด Super Spread ในยุโรป ทำให้หากจะดูผลกระทบจาก COVID-19 ในตลาดยุโรป อาจต้องรอประเมินตัวเลขส่งออกเดือนมี.ค.อีกครั้ง (ตลาดสเปนหดตัว 3.3% จากการส่งออกเครื่องปรับอากาศและรถจักรยานยนต์เป็นหลัก)

ตลาดสหรัฐฯ หดตัวถึง 37% เนื่องจากฐานที่สูงในปีก่อน จากการส่งออกอาวุธกลับหลังจากมีการฝึก Cobra Gold อย่างไรก็ตาม หากหักอาวุธออก จะพบว่าตลาดสหรัฐฯ กลับมาขยายตัวถึง 18.3% จากปัจจัยสนับสนุนเดิมที่หลายสินค้าของไทยเข้าไปแทนที่สินค้าจีนในตลาดสหรัฐฯ ได้มากขึ้นจากสงครามการค้า อาทิ คอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์ยาง อุปกรณ์กึ่งตัวนำ เครื่องประดับ เหล็ก เป็นต้น

ตลาดเกาหลีใต้ หดตัวเพียง 1.5% สวนทางกับยอดผู้ติดเชื้อของเกาหลีใต้ในเดือนก.พ.ที่เร่งตัวขึ้นเร็วที่สุดในโลก แต่เนื่องจากเกาหลีใต้มีมาตรการเด็ดขาดและมีประสิทธิภาพทำให้สามารถควบคุมสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว โดยสินค้าที่ช่วยประคองให้ตลาดเกาหลีใต้ไม่หดตัวมาก ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ยาง เครื่องปรับอากาศ กระดาษและผลิตภัณฑ์กระดาษ เป็นต้น

ตลาดญี่ปุ่น หดตัวถึง 11.1% สูงสุดเมื่อเทียบตลาดที่มีผู้ติดเชื้ออันดับต้น ๆ ของโลก โดยสินค้าที่กดดันการส่งออกไทยไปญี่ปุ่นในเดือนก.พ.ยังเป็นสินค้าอุตสาหกรรมเป็นหลัก อาทิ รถยนต์ เครื่องจักร คอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ ซึ่งได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจญี่ปุ่นโดยรวมที่ชะลอลงมาตั้งแต่ช่วงก่อนเกิด COVID-19 อย่างไรก็ตาม สินค้าอาหารซึ่งจำเป็นต่อการดำรงชีวิตยังขยายตัวได้ โดยเฉพาะไก่แปรรูป ซึ่งเป็นสินค้าเกษตรอันดับ 1 ของไทยไปญี่ปุ่น

 

ตลาดอิหร่าน ขยายตัวถึง 25.9% จากการส่งออกยางพารา รถยนต์ ผลไม้กระป๋องที่ยังขยายตัวได้สูง เช่นเดียวกับตลาดตะวันออกกลางโดยรวมก็ยังขยายตัวได้ถึง 16.4% โดยตัวเลขการส่งออกไปภูมิภาคดังกล่าวที่ยังขยายตัวสูงอาจยังไม่ได้สะท้อนผลกระทบจาก COVID-19 มากนัก เนื่องจากตัวเลขผู้ติดเชื้อในตะวันออกกลางเริ่มเร่งตัวขึ้นในช่วงปลายเดือนก.พ.  ทำให้อาจต้องพิจารณาตัวเลขการส่งออกเดือนมี.ค.อีกครั้ง โดยเฉพาะในตลาดส่งออกหลักในภูมิภาคทั้งซาอุดีอาระเบีย กาตาร์ อิสราเอล เป็นต้น ที่มียอดผู้ติดเชื้อเร่งขึ้นสูง

ทั้งนี้ แม้ว่าการส่งออกของไทยโดยรวมในช่วง 2 เดือนแรกปี 2563 จะหดตัวเพียง 0.8% ดีกว่าประเทศคู่แข่งสำคัญ ทั้งเกาหลีใต้ (-1.1%) สิงคโปร์ (-2.9%) ญี่ปุ่น (-1.7%) เป็นต้น แต่การส่งออกของไทยในช่วงที่เหลือของปี 2563 ยังต้องเผชิญปัจจัยเสี่ยงอยู่มาก โดยเฉพาะสถานการณ์ COVID-19 ที่ไม่มีใครทราบว่าจะยุติลงเมื่อใดและยังไม่สามารถประเมินผลกระทบได้ชัดเจน แต่ตัวเลขส่งออกในช่วงที่ผ่านมาก็สะท้อนได้บางส่วนว่า การส่งออกของไทย มีความยืดหยุ่นมากขึ้นกว่าอดีต จากการมีสินค้าที่หลากหลายและการกระจายตลาดส่งออกที่ดี