BEM - ถือ

BEM - ถือ

กำไรไตรมาส 3/59 เป็นไปตามคาด; ช่วงไฮซีซั่นหนุนการเติบโตในไตรมาส 4/59

เป็นไปตามคาด

BEM รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 3/59 ที่ 808 ล้านบาท ลดลง 47% YoY แต่เพิ่มขึ้น 60% QoQ กำไรหลักไตรมาส 3/59 อยู่ที่ 808 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 52% YoY และ 13% QoQ ซึ่งเป็นไปตามที่เราคาด แต่สูงกว่าที่ตลาดคาด 14%

ประเด็นหลักผลประกอบการ

การบันทึกกำไรพิเศษจากการขายเงินลงทุนใน BMCL จำนวน 1.2 พันล้านบาทในไตรมาส 3/58 ส่งผลให้กำไรสุทธิปรับตัวลดลง YoY ในขณะที่บันทึกค่าธรรมเนียมการชำระหนี้ก่อนกำหนดในไตรมาส 2/59 จำนวน 212 ล้านบาท เป็นปัจจัยหลักที่หนุนกำไรสทุธิเติบโต QoQ โดยปัจจัยสำคัญที่หนุนการเติบโตของกำไรหลัก ได้แก่ การเปิดให้บริการรถฟ้าสายสีม่วงในวันที่ 6 ส.ค. (รายได้จากการเดินรถและการซ่อมบำรุง) และทางด่วนเส้นใหม่ (สายศรีรัช-วงแหวนรอบนอกฯ) ในวันที่ 22 ส.ค.

อีกปัจจัยที่หนุนการเติบโตของกำไรหลัก ได้แก่ 1) ปริมาณการจราจรบนทางด่วนที่เพิ่มขึ้น (ปริมาณจราจรเฉลี่ยรวมต่อวัน (BECL+NECL) เพิ่มขึ้น 4% YoY และ 5% QoQ มาอยู่ที่ 1.19 ล้านเที่ยว), 2) รายได้เฉลี่ยต่อวันจากทางด่วนที่สูงขึ้น (เพิ่มขึ้น 7% ทั้ง YoY และ QoQ มาอยู่ที่ 25.7 ล้านบาท), 3) จำนวนเที่ยวใช้บริการรถไฟฟ้า (จำนวนเที่ยวเฉลี่ยต่อวัน เพิ่มขึ้น 6% YoY และ 10% QoQ มาอยู่ที่ 283,127 เที่ยว), 4) รายได้เฉลี่ยต่อวันจาก MRT ที่สูงขึ้น (เพิ่มขึ้น 7% YoY และ 8% QoQ มาอยู่ที่ 7 ล้านบาท), 5) ส่วนแบ่งรายได้จากบริษัทร่วมที่สูงขึ้น (เพิ่มขึ้น 29% YoY และ 10% QoQ มาอยู่ที่ 113 ล้านบาท), 6) ภาระดอกเบี้ยจ่ายที่ลดลง (ลดลง 17% YoY [เพิ่มขึ้น 8% QoQ] มาอยู่ที่ 296 ล้านบาท) จากอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลง, และ 7) อัตราภาษีจ่ายที่ลดลง YoY (ลดลงเหลือ 19.7% จาก 66.4% ในไตรมาส 3/58)

แนวโน้ม

เราคาดว่ากำไรไตรมาส 4/59 ของบริษัทจะปรับตัวเพิ่มขึ้น YoY และ QoQ ซึ่งได้แรงหนุนจากการรับรู้รายได้เต็มไตรมาสจากรถไฟฟ้าสายสีม่วงและทางด่วนเส้นใหม่, ปริมาณการจราจรที่เพิ่มขึ้น, รายได้เฉลี่ยต่อวันจากทั้งทางด่วนและ MRT ที่สูงขึ้น ทั้งนี้ไตรมาส 4 จะเป็นช่วงปกติของไฮซีซั่นในการใช้ทางด่วนและระบบขนส่งมวลชน

สิ่งที่เปลี่ยนแปลง

เราปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 2559 ที่ 25% เพื่อสะท้อน 1) ปรับเพิ่มสมมติฐานการเติบโตของปริมาณการจราจรบนทางด่วน (จาก 2% เป็น 3%), 2) ปรับเพิ่มสมมติฐานการเติบโตของจำนวนเที่ยวใช้บริการรถไฟฟ้า MRT (จาก 3% เป็น 5%), 3) สมมติฐานค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่ลดลง นอกจากนั้นเราได้ปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 2560 อีก 19% มาอยู่ที่ 3,754 ล้านบาท จากผลกระทบจากฐานที่สูงขึ้น เราปรับราคาเป้าหมายตามวิธี SOTP ณ สิ้นปี 2560 มาอยู่ที่ 8.50 บาท (จาก 7.60 บาท)


คำแนะนำ

ในมุมมองของเรา ราคาหุ้นในปัจจุบันที่ปรับตัวดีกว่ากลุ่มได้สะท้อนถึงความคาดหวังต่อการเร่งรัดการเจรจาสัญญารถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายสีน้ำเงินของ MRTA และแนวโน้มกำไรหลักเติบโตที่แข็งแกร่งที่ 89% ในปี 2559 ที่มาจากการเปิดให้บริการทางด่วนใหม่และรถไฟฟ้าสายสีม่วงในเดือน ส.ค. อย่างไรก็ตามแนวโน้มอัตราเติบโตเฉลี่ยสะสมต่อปีของกำไรในระหว่างปี 2558-2560 อยู่ที่ 53% ซึ่งถือว่าแข็งแกร่งที่สุดในบรรดากลุ่มผู้ให้บริการขนส่งภาคพื้นดินของไทยและสูงกว่าอัตราเติบโตเฉลี่ยสะสมต่อปีของตลาดที่ 6% ในระหว่างปี 2558-2560 น่าจะเป็นปัจจัยหนุนราคาหุ้นต่อไปได้ ทั้งนี้เรามองว่ายังมีอัพไซด์ต่อประมาณการกำไรในระยะยาวจากสิทธิในการเดินรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายสีม่วงและสีน้ำเงิน รวมถึงธุรกิจการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์สำหรับเส้นทางระบบขนส่งมวลชนใหม่ ดังนั้นเราจึงปรับลดคำแนะนำเป็น “ถือ” จาก “ซื้อ”