ทาลิสพร้อมรุกกองทุนรวม มองปี60ดัชนีหุ้นไทย1,400-1,800จุด

ทาลิสพร้อมรุกกองทุนรวม มองปี60ดัชนีหุ้นไทย1,400-1,800จุด

บลจ.ทาลิสลุยธุรกิจกองทุนรวมหลังกองทุนบุคคลโตเกินคาด ปรับเป้าเอยูเอ็มสิ้นปีแตะ4,000ล้านบาท เผยเดือนหน้าส่งกองทุนเปิดทาลิสเฟล็กซิเบิ้ล จ

 

 

พร้อมสแกนภาพรวมธุรกิจบจ. ปีนี้โตเชิงบวกแตะ7.8แสนล้านบาท และปีหน้าไปต่อโต10% หนุนหุ้นไทยปี60อยู่ในกรอบ1,400-1,800จุด จากปีนี้1,400-1,500 จุด แนะยังถือเงินสดรอหายังหวะช้อนกลุ่มค้าปลีก-อสังหาฯ-รับเหมา

นายฉัตรพี ตันติเฉลิม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทาลิส จำกัด เปิดเผยว่า หลังจากบริษัทเปิดตัวในเดือนเม.ย.ที่ผ่านมาจนถึงขณะนี้ ธุรกิจกองทุนส่วนบุคคล (Private Fund)ของบริษัทขยายตัวดีมากทำให้ปัจจุบันมีมูลค่าทรัพย์สินภายใต้การบริหารจัดการ (AUM) อยู่ที่3,000 ล้านบาท ล่าสุดบริษัทจึงได้ปรับเพิ่มเป้าหมาย AUMไปสู่ระดับ 4,000 ล้านบาท จากฐานลูกค้ารายใหญ่เป็นหลัก

เขากล่าวว่าในเดือนต.ค.บริษัทเตรียมรุกธุรกิจกองทุนรวมเพื่อรองรับความต้องการลูกค้ารายย่อย หลังจากที่บริษัทได้รับอนุญาตให้สามารถจัดตั้งกองทุนรวมจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยจะเปิดขาย“กองทุนเปิดทาลิสเฟล็กซิเบิ้ล”ผ่านทางบลจ.ทาลิส และตัวแทนจำหน่ายที่เป็นบุคคล สถาบันของบริษัท โดยจะจับจังหวะลงทุนตลาดหุ้นไทยช่วงพักฐาน โดยกลยุทธ์การลงทุนไปลงทุน ในตราสารทุนตราสารหนี้หรือเงินฝากธนาคารหรือตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุน สัดส่วนการลงทุนดังกล่าวจะขึ้นกับการตัดสินใจของบริษัทจัดการตามความเหมาะสมกับสถานการณ์ในแต่ละขณะหากภาวะหุ้นอยู่ในช่วงขาขึ้นจะลงทุนส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมดในหุ้นสามัญ

   ด้านนายประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ. ทาลิส  กล่าวว่า   ปีนี้กองทุนยังมองภาพการเติบโตของธุรกิจบจ.ในเชิงบวก เติบโตประมาณ 780,000 ล้านบาท และในปี2560 จะเติบโตอีก 10% หรือเพิ่มเป็น 870,000 ล้านบาท ส่งผลให้แนวโน้มตลาดหุ้นไทยช่วงปีหน้ามีโอกาสเคลื่อนไหวในกรอบ 1,400-1,800 จุด ซึ่งกรอบดัชนีดังกล่าวอยู่ภายใต้ปัจจัยที่ปกติ  โดยในช่วงที่เหลือของปีนี้ หากไม่มีปัจจัยลบอื่นๆมากระทบ คาดว่าตลาดหุ้นไทยจะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,400-1,500 จุด

อย่างไรก็ตามโอกาสที่จะเกิดความผันผวนและปรับฐานหลายครั้งยังคงมีให้นักลงทุนได้เห็นในช่วงที่เหลือของปี ทั้งการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ  และแนวโน้มการขึ้นอัตราดอกเบี้ยสหรัฐของเฟด ที่มีความเป็นไปได้สูงปรับขึ้นในช่วงเดือนพ.ย.และธ.ค. ประกอบกับช่วงสองเดือนสุดท้ายของปี เป็นช่วงการหยุดพักร้อนของนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนต่างชาติ และอาจเจอสถานการณ์การชะลอลงทุนของนักลงทุน หลังจากช่วง 7-8เดือนที่ผ่านมามีนักลงทุนต่างชาติเข้าลงทุนในตลาดหุ้นไทยมากถึง 130,000 -140,000 ล้านบาทแล้ว

แต่อย่างไรก็ตาม ในช่วงท้ายปีนี้ยังคงมีความหวังว่าในช่วงท้ายปี จะมีเม็ดเงินลงทุนจากกองทุนหุ้นระยะยาว(LTF) และกองทุนสำรองเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) เข้ามาช่วยหนุนตลาดหุ้นไทยให้ปรับตัวขึ้น และจากที่คาดการณ์ มองว่า กองทุนคงไม่นำเม็ดเงินลงทุนที่เข้ามาใหม่ดังกล่าวเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยหมดทีเดียว เพราะทุกช่วงเดือนม.ค.ของแต่ละปีจะมีเม็ดเงิน LTF ที่ครบกำหนดถูกไถ่ถอนออกไป ทำให้เม็ดเงินลงทุนใหม่ที่เข้ามากองทุนจะกันเม็ดเงินบางส่วนไว้สำหรับรับสถานการณ์ดุงกล่าวที่จะเกิดขึ้นด้วย ทำให้เงินจาก LTF-RMF ที่เข้ามาใหม่ช่วยอะไรไม่ได้มากนัก

“ในช่วงเวลาที่เหลือยังคงมีเงินทุนต่างชาติน่าจะชะลอตัว จากที่ผ่านมาไหลเข้ามาต่อเนื่องแต่ช่วง2-3วันที่ผ่านมาเห็นภาพนักลงทุนต่างชาติเทขายหุ้นต่อเรื่องเช่นกัน มองว่า เป็นผลมาจากหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นไปมากๆที่สุดจนติดอันดับ1ใน5และช่วงเวลาที่เหลือมีปัจจัยลบทั้งในประเทศและต่างประเทศเข้ามากระทบอีก”

สำหรับกลยุทย์การลงทุนในช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้ ยังคงแนะนำหุ้นกลุ่มค้าปลีก เพราะมีแนวโน้มการทำกำไรของธุรกิจเติบโตยาวไปถึงช่วงปีหน้า รวมถึง หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ เป็นกลุ่มหุ้นที่คาดว่าจะเติบโตได้อีกที่สำคัญราคาไม่แพงเกินไป และหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้างและวัสดุก่อสร้าง ที่เกี่ยวเนื่องกับโครงการโครงสร้างพื้นฐานจากรัฐบาลส่วนภาพเศรษฐกิจไทยปีนี้โตเติบโตประมาณ 3.2-3.3% ส่วนช่วงปี 2560 คาดว่าจะเติบโตประมาณ 3.3-3.5%

“แนะนำว่าลูกค้าควรถือเงินสดรอจังหวะทยอยเข้าซื้อหุ้นเมื่อดัชนีอยู่ที่1,400จุด เพราะช่วงที่ผ่านมาพบตลาดหุ้นมีความผิดปกติ จากช่วงหุ้นขึ้นมาตลอด7เดือนแต่มาเอาคืนปรับตัวลงในช่วงแค่8วัน ดังนั้นที่ผ่านมาบริษัทมีสัดส่วนถือเงินสดถึง95%ของพอร์ตลงทุนทั้งหมด”