ผลตอบแทนหุ้นไทย5ปียืน20%

ผลตอบแทนหุ้นไทย5ปียืน20%

"สถิตย์ ลิ่มพงษ์พันธ์" ประธานตลาดหลักทรัพย์ เผยผลตอบแทนการลงทุนหุ้นไทยเฉลี่ย 5 ปีอยู่ที่ 20% ติดอันดับต้นๆ ของเอเชีย

นายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ ประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ผลตอบแทนการลงทุนในตลาดหุ้นไทย 5 ปีที่ผ่านมาให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 20% ซึ่งถือว่าสูงติดอันดับต้นๆ ของเอเชีย และสูงที่สุดเมื่อเทียบกับการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทอื่น ซึ่งแสดงถึงความมั่งคั่ง และการที่รัฐบาลชุดนี้ได้มีการอนุมัติให้มีการควบรวม ตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย (AFET) กับ ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) จะทำให้ AFET มีความน่าสนใจในการลงทุนมากขึ้น ขณะเดียวกันตลาดหลักทรัพย์ อยู่ระหว่างการจัดตั้งตลาดซื้อขายทองคำให้สำเร็จ

ทั้งนี้ การพัฒนาตลาดหลักทรัพย์ เป็นไปในทิศทางเดียวกับที่นายกรัฐมนตรีกล่าว คือ เรื่องความมั่งคั่ง มั่นคง ยั่งยืน ซึ่งความมั่นคงนั้น ตลาดหลักทรัพย์ มีการกำกับดูแลการซื้อขายให้เป็นธรรม มีประสิทธิภาพ โปร่งใส มีเครื่องมือบริหารความเสี่ยง มีการใช้ดิจิทัลในการดำเนินงาน ให้ความรู้นักลงทุนอย่างต่อเนื่อง สร้างความแข็งแกร่ง ส่วนความมั่งคั่งนั้นจะเห็นว่า การลงทุนในตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนที่สูง ขณะที่ความยั่งยืน คือ ตลาดหลักทรัพย์มุ่งมั่น เน้นด้านธรรมาภิบาล ดูแลสิ่งแวดล้อมด้วยเช่นกัน

นายธนเดช รังษีธนานนท์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล.กรุงศรี เปิดเผยว่า อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลเทียบกับราคาหุ้นเฉลี่ยของบริษัทกลุ่มธนาคารพาณิชย์อยู่ที่ 3.4% ซึ่งลดลงเมื่อเทียบจากปี 2556 ซึ่งอยู่ที่ 4.1% ทั้งนี้เป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของราคาหุ้นเฉลี่ยทั้งกลุ่มอยู่ที่ 26% แต่กำไรสุทธิเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเพียง 3% ตามทิศทางการชะลอตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศเมื่อปีที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลกระทบต่อยอดปล่อยสินเชื่อของบริษัท

ขณะที่ในปีนี่ฝ่ายวิเคราะห์คาดการณ์ว่าอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยของบริษัทในกลุ่มธนาคารพาณิชย์น่าจะอยู่ที่ 3.5% ซึ่งเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยจากปีก่อน ทั้งนี้เป็นเพราะการฟื้นตัวของยอดปล่อยสินเชื่อในปีนี้จะยังไม่สามารถเติบโตได้ในระดับสูงเหมือนในช่วงปี 2553-2555 ซึ่งเติบโตเฉลี่ยปีละ 10-15% แม้เศรษฐกิจในปีนี้จะฟื้นตัวขึ้นจากปีก่อน ทำให้ยอดปล่อยสินเชื่อปีนี้น่าจะเติบโต 6% ขณะที่ปีก่อนเติบโต 4% แต่จะเห็นว่ายังเป็นอัตราที่แตกต่างจากเดิมมากพอสมควร นอกจากนี้การเติบโตที่ลดลงยังทำให้รายได้จากค่าธรรมเนียมลดลงตามไปด้วย

“ถึงแม้เศรษฐกิจจะชะลอตัวลง และทำให้กำไรของแต่ละบริษัทเติบโตน้อยลง แต่จะเห็นว่าราคาหุ้นกลับยังสามารถเติบโตได้ต่อเนื่อง เพราะฉะนั้นจึงทำให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลลดลงไปด้วย แต่อย่างไรก็ตามเชื่อว่าในปี 2559 ผลประกอบของกลุ่มธนาคารพาณิชย์น่าจะยังเติบโตต่อไปได้ ตามทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ซึ่งจะทำให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลน่าจะเพิ่มสูงขึ้น หรืออย่างน้อยน่าจะเท่าเดิม” นายธนเดช กล่าว

สำหรับบริษัทที่มีอัตราผลตอบแทนมากที่สุดในกลุ่มธนาคารพาณิชย์เมื่อปี 2557 ได้แก่ บริษัท ทุนธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TCAP มีอัตราปันผล 5% บริษัท ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TISCO มีอัตราปันผล 4.7% และธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) หรือ KKP มีอัตราปันผล 4%

นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เอเซียพลัส ระบุว่ากำไรของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย ปีนี้จะกลับมาเติบโตโดดเด่นหากเทียบกับปี 2557 ต่ำกว่าคาดมาก โดยเชื่อว่าปัจจัยกดดันตลาดที่เกิดจากผลประกอบการในงวดไตรมาส 4/2557 ตกต่ำกว่าคาด น่าจะสะท้อนในตลาดหุ้นพอสมควรแล้ว ทั้งนี้ พบว่าบริษัทจดทะเบียนได้ทยอยรายงานผลประกอบการปี 2557 แล้วราว 40% ของทั้งตลาด ในเบื้องต้นฝ่ายวิจัยประเมินว่ากำไรสุทธิของตลาดฯ งวดไตรมาส 4/2557 จะอยู่ที่ราว 1.1 แสนล้านบาท ลดลงจากคาดการณ์ครั้งก่อน (ธ.ค. 2557) ว่าจะอยู่ที่ 1.95 แสนล้านบาท หรือลดลงราว 47% และลดลง 37% เมื่อเทียบกับงวด เดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้ประมาณการกำไรทั้งปี 2557 อยู่ที่ 7.2 แสนล้านบาท ลดลงจากประมาณการครั้งก่อนที่ 8.1 แสนล้านบาท หรือลดลง 13.8% ทั้งนี้ สาเหตุจากผลการดำเนินงานที่ตกต่ำเกิดจากหลายกลุ่มฯ คือกลุ่มพลังงาน นักวิเคราะห์ได้มีการปรับลดกำไรปี 2557 ลงถึง 43% โดยหลักๆ มาจากบริษัทขนาดใหญ่

ภายใต้ประมาณการกำไรปี 2557 ใหม่ที่ 7.2 แสนล้านบาท จะหดตัวลง 9% จากปี 2556 (กำไรสุทธิปี 2556 อยู่ที่ 7.88 แสนล้านบาท) ขณะที่ปี 2558 คาดว่า กำไรสุทธิมีแนวโน้มจะเพิ่มจากประมาณการเดิม 9.45 แสนล้านบาท จะมีอัตราการเติบโตสูงถึง 31%หากพิจารณาการใช้ประมาณการกำไรปี 2558 คาดว่าจะมีพีอีเรโชราว 15.36 เท่า ซึ่งยังเป็นระดับที่ไม่สูงมากนักเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศในกลุ่ม TIP กล่าวคือ อินโดนีเซียอยู่ที่ 15.9 เท่า และ ฟิลิปปินส์ สูงถึง 19.7 เท่า