สปช.จวกตร.ศูนย์กลางทุจริต เครื่องมือนักการเมือง

สปช.จวกตร.ศูนย์กลางทุจริต เครื่องมือนักการเมือง

สปช.จวกตร.ศูนย์กลางทุจริต เครื่องมือนักการเมือง ด้าน"พล.ต.ท.อำนวย"โอดตร.ถูกกล่าวหาเป็นสุนัขรับใช้นักการเมือง

ที่โรงแรม เดอะ สุโกศล คณะกรรมาธิการปฏิรูปการเมือง สภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) ร่วมกับ สถาบันปฏิรูปประเทศไทย (สปท.) จัดโครงการสัมมนาและรับฟังความคิดเห็น ประเด็นการปฏิรูปตำรวจ โดย นายสังศิต พิริยะรังสรรค์ สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ในฐานะประธานสปท. กล่าวเปิดงานตอนหนึ่งว่า การปฏิรูปตำรวจจะเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จอย่างหนึ่งของการปฏิรูปการเมือง เพราะตำรวจคือศูนย์รวมของการทุจริตที่มากที่สุดในหน่วยงานราชการ ล่าสุดคือกรณีของ พล.ต.อ.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีตผู้บังคับการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) ที่ศาลมีคำพิพากษาให้ลงโทษจำคุก 5 ปี ในฐานความผิดซื้อขายตำแหน่งมูลค่า 3 - 5 ล้านบาท นาน 5 ปี แต่จำเลยรับสภาพจึงลดโทษกึ่งหนึ่งเหลือ 2 ปีครึ่ง ซึ่งใช้โทษจริงก็ไม่ถึงอยู่ดี ฐานความผิดทุจริตกับบทลงโทษยังไม่เหมาะสม นอกจากนี้ยังต้องปฏิรูปตำรวจให้ไม่ตกเป็นเครื่องมือของนักการเมืองอีกด้วย

นายวันชัย สอนศิริ สมาชิกสปช. ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการปฏิรูปกฎหมายและกรบวนการยุติธรรม กล่าวว่า การปฏิรูปประเทศมี 45 ด้าน การปฏิรูปตำรวจมีความสำคัญเป็นลำดับที่ 3 รองจากเรื่องการเมืองและการปราบปรามการทุจริต โดยกมธ.ปฏิรูปกฎหมายและกรบวนการยุติธรรม มองว่า การปฏิรูปตำรวจจะต้องเชื่อมโยงกับกมธ.อีก 4 ด้าน ได้แก่ กมธ.ปฏิรูปการบริหาราชการแผ่นดิน กมธ.ปฏิรูปการปกครองส่วนท้องถิ่น กมธ.ปฏิรูปการทุจริตฯ และกมธ.ปฏิรูปด้านสังคม และที่ผ่านมาก็ได้ทำข้อเสนอต่อกมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญไปแล้ว

นายวันชัย กล่าวว่า ต้องยอมรับว่าตำรวจส่วนใหญ่ดี มีเพียงส่วนน้อยที่ไม่ดีแต่มีอำนาจ ทางกมธ.ของเราจึง ได้มีแนวทางเบื้องต้น 5 ข้อ สำหรับการปฏิรูปตำรวจ 1.ตำรวจขาดความเป็นอิสระในการปฏิบัติหน้าที่ แต่งตั้งโยกย้าย ขาดระบบจริยธรรม การวิ่งเต้นโยกย้ายใช้เงินเป็นเรื่องปกติ ดังนั้นเราควรปฏิรูปให้องค์กรตำรวจมีความอิสระให้ห่างจากการเมือง 2.ต้องมีการกระจายอำนาจตำรวจเป็น ตำรวจส่วนกลาง ตำรวจส่วนภูมิภาค หรือ ตำรวจส่วนท้องถิ่น โดยให้มีหน่วยงานควบคุมตามกฎหมายบัญญัติ 3.เปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมโดยให้มีหน้าที่กำกับดูแลการแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจอย่างเป็นธรรม ไม่ใช่ให้ผู้มีอิทธิพลเข้ามามีส่วนร่วม 4.จัดโครงสร้างตำรวจปรับเปลี่ยนหน่วยงานให้มีขนาดกระทัดรัด ยกเลิกบางหน้าที่ไม่เกี่ยวข้องกับตำรวจปรับอำนาจการปราบปราม สืบสวนสอบสวนให้เป็นของหน่วยงานอื่นตามความเหมาะสม 5.สภากิจการตำรวจแห่งชาติ กำกับดูแลการทำงานของตำรวจโดยมีกรรมการที่มาจากผู้ทรงคุณวุฒิในด้านความมั่นคง ด้านยุติธรรม สิทธิมนุษยชน และประชาชน เพื่อให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการบริหารงานมากขึ้น นี่คือ สิ่งที่กรรมาธิการปฏิรูปต้องการเสนอและดำเนินการให้สำเร็จ

พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร กล่าวว่า อุปสรรคสำคัญของการปฏิรูปตรวจอยู่ที่ตัวตำรวจเอง เพราะที่ผ่านมามีความพยายามปฏิรูปตำรวจมาแล้วหลายหน โดยเฉพาะในสมัยของรัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ แต่ก็ไม่สำเร็จ เพราะมีการต่อต้านจากฝ่ายการเมือง และนายตำรวจอาวุโส ซึ่งประเด็นของการต่อต้านมีอยู่ประเด็นเดียวเท่านั้น คือความพยายามสงวนอำนาจเอาไว้ในมือของตำรวจ และฝ่ายการเมืองในศูนย์กลางอำนาจเท่านั้น สำหรับข้อเสนอในการปฏิรูปตำรวจของคณะกรรมาธิการปฏิรูปกฏหมายและกระบวนการยุติธรรม สปช.นั้น ในประการแรก คือการให้อิสระกับตำรวจในการแต่งตั้งโยกย้าย ตนเห็นด้วยเต็มที่ เพราะหากเราแก้ไขเรื่องการโยกย้ายให้เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาล ปราศจากการแทรงแซงจะเป็นประโยชน์แก่องค์กรตำรวจเองและประชาชนก็จะได้รับประโยชน์สูงสุด อย่างไรก็ตามจะต้องเจอการต่อต้านอย่างแน่นอน แต่จะมาในรูปแบบไหนต้องติดตามและเตรียมรับมือไว้ให้ดี

พล.ต.อ.วสิษฐ กล่าวต่อว่า เรื่องการกระจายอำนาจในการบริหาราชการตำรวจก็มีความจำเป็น เพราะที่ผ่านมามีการกระจุกอำนาจมาอย่างยาวนาน และทำความเสียหาย ซึ่งต้องเน้นเรื่องการกระจายงบประมาณลงไป ไม่ใช่กระจุกอยู่ที่ศูนย์กลาง และเรื่องนี้จึงเป็นที่มาไปสู่การต่อรองการแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจตามที่ต่างๆด้วย รวมทั้งต้องปรับโอนงานที่ไม่ใช้งานของตำรวจไปสู่หน่วยงานอื่นๆ และประเด็นสุดท้าย การตรวจสอบการทุจริตของตำรวจเวลาเกิดเรื่องราวร้องทุกข์จากประชาชนที่ผ่านมา ตำรวจจะเป็นผู้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนด้วยกันเอง จึงทำให้เกิดการลูบหน้าประจมูก มีการวิ่งเต้น และช่วยเหลือกัน จึงมักจะจบลงด้วยการลงโทษเบาๆเท่านั้น และด้วยเหตุนี้เอง จึงมีนายตำรวจที่เคยมีความผิดยังได้รับการแต่งตั้งในตำแหน่งสำคัญๆอยู่ ซึ่งในต่างประเทศมีคณะกรรมการอิสระที่รับเรื่องราวร้องทุกข์ที่ตำรวจเป็นผู้ถูกกล่าวหา ซึ่งการปฏิรูปคราวนี้ตนหวังว่าเราทำระบบตรวจสอบดังกล่าวให้สำเร็จ

ขณะที่ พล.ต.ท.อำนวย นิ่มมะโน ผบช.ภาค 1 ในฐานะตัวแทน พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร. แสดงความเห็นว่า อยากให้การแสดงความเห็นต่อการปฏิรูปครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย เพราะรัฐบาลนี้ทำไม่สำเร็จก็คงไม่มีโอกาสได้ทำอีก ที่ผ่านมา มักวิจารณ์ตำรวจกันว่า เป็นสุนัขรับใช้นักการเมือง แต่ไม่เคยถามตำรวจเลยว่าอยากรับใช้หรือไม่ หรือมันมีสถานการณ์อะไรมาบีบบังคับ ซึ่งตนมองเห็นว่าการแก้ไขไม่ให้นักการเมืองเข้ามาแทรกแซงองค์กรตำรวจได้ง่ายนิดเดียวคือการปรับโครงสร้างไม่ให้มีตัวแทนจากฝ่ายการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง กตช. ที่มีหน้าที่เสนอและแต่งตั้ง ผบ.ตร. และก.ตร. ที่มีหน้าที่ให้ความเห็นชอบแต่งตั้งพลตำรวจ เพราะมันเป็นช่องทางที่ทำให้มีการวิ่งเต้นได้

"คณะทำงานของตำรวจที่รับผิดชอบในการแก้ไขกฎหมายเพื่อการปฏิรูปองค์กรตำรวจ ได้มีการแก้กฎหมายให้ นายกรัฐมนตรี ออกจากโครงสร้าง กตช.และก.ตร.มานานแล้ว แต่ก็ไม่รู้จะไปนำเสนอต่อสภาไหน เพราะเป็นการริบอำนาจฝ่ายการเมือง เพราะทางผบ.ตร.เองก็พร้อมจะให้ตำรวจออกจากการกำกับของฝ่ายการเมือง ดังนั้นการปฏิรูปตำรวจของสปช. สามารถร่วมมือทำงานกับทางสปช.ได้" พล.ต.ท.อำนวย กล่าว