เร่งแก้ก.ม.ควบ'เอเฟท'

เร่งแก้ก.ม.ควบ'เอเฟท'

ตลาดหลักทรัพย์เร่งแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เดินหน้าควบรวมตลาด "ทีเฟ็กซ์-เอเฟท" คาดทันสิ้นปีนี้

นางเกศรา มัญชุศรี กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ความคืบหน้าในการควบรวมตลาดซื้อขายสัญญาณล่วงหน้า กับตลาดซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทยนั้นอยู่ระหว่างการพูดคุยในเรื่องของกฎหมายต่างๆ ที่ต้องมีการแก้ไข โดยหากกฎหมายมีการแก้ไขแล้วเสร็จก็พร้อมที่จะเดินหน้านำสินค้าเกษตรเข้ามาเทรดในตลาดทีเฟ็กซ์ได้ทันที

"ในส่วนการควบรวมทั้ง2ตลาดเข้าด้วยกันปัจจุบันอยู่ระหว่างการปรับแก้ไขกฎหมายต่างๆ ที่เป็นอุปสรรค การปรับกฎหมายจะเร่งให้แล้วเสร็จภายในครึ่งปีแรก หากแก้ไขแล้วเสร็จก็สามารถนำสินค้ามาซื้อขายในตลาดทีเฟ็กซ์ได้ทันทีเพราะระบบการซื้อขายต่างๆ ที่มีอยู่ สามารถรองรับการซื้อขายที่จะเพิ่มเข้ามาได้โดยจะเร่งผลักดันให้สามารถซื้อขายได้ในครึ่งปีหลัง"

นางเกศรา เปิดเผยว่า ในส่วนสินค้าที่จะเพิ่มเข้ามาในตลาดทีเฟ็กซ์ จะมีเพิ่มในสินค้า 4 หมวดได้แก่ ข้าว ยางพารา อ้อย มันสำปะหลัง และน้ำสับปะรด และจะมีการแตกย่อยไปในกลุ่มสินค้าแต่ละรายการอีก โดยปัจจุบันการซื้อขายในตลาดเอเฟทมีปริมาณการซื้อขายอยู่ที่ 500 สัญญาต่อวัน

การควบรวมตลาดทั้ง 2 แห่งเข้าด้วยกัน ตลาดหลักทรัพย์จะรับเอาพนักงานทั้งหมดของตลาดซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้าเข้ามาทำงานร่วมกันทั้งหมด โดยจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วนพนักงานที่เกี่ยวข้องกับการดูแลการซื้อขายระบบการซื้อขายจะเข้ามาอยู่กับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ส่วนฝ่ายที่กำกับดูแลตรวจสอบการซื้อขายที่ปิดปกติ จะเข้าไปอยู่กับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)

ส่วนโบรกเกอร์เดิมที่ให้บริการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า จำนวน 10 รายยังสามารถให้บริการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้าได้ต่อไปเช่นเดิม แต่หากต้องการให้บริการสินค้าอนุพันธ์อื่นๆ ที่ตลาดหลักทรัพย์ให้บริการหรือการให้บริการซื้อขายหลักทรัพย์ จะต้องมีขอใบอนุญาตแบบฟูลไลเซ่นส์กับทางตลาดหลักทรัพย์ก่อนซึ่งในปัจจุบันหากใครที่จะขอไลเซ่นส์ก็สามารถดำเนินการได้ทันที

ทั้งนี้การควบรวมทั้ง 2 ตลาดที่เกิดขึ้นเป็นไปตามมติที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 30 ธ.ค. 2557 ได้มีมติให้ตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย (AFET) ควบรวมกับตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า หรือ TFEX

อย่างไรก็ตาม จากการสำรวจพบว่าผลการดำเนินงานของตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าตลอด 10 ปีที่ผ่านมา (2547-2557) มีการทำธุรกรรมค่อนข้างน้อย โดยปริมาณสัญญาที่มีการซื้อขายตั้งแต่เปิดตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าในปี 2547 มีทั้งสิ้น 1,137,276 สัญญา เฉลี่ยต่อเดือนอยู่ที่ 9,030 สัญญา หรือ 446 สัญญาต่อวัน สินค้าหลักที่มีการซื้อขายคือสินค้ายางพารา ข้าว และมันสำปะหลัง และหากประเมินปริมาณสัญญาซื้อขายตั้งแต่ม.ค. 2557-ต.ค.2557 มีจำนวนสัญญาซื้อขายเฉลี่ยอยู่ที่ 331 สัญญาต่อวัน

ขณะที่ ตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าของประเทศไทย กับประเทศอื่น อาทิ ตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าประเทศสิงคโปร์ (SICOM) มีปริมาณสัญญาซื้อขายเฉลี่ย 1,912 สัญญาต่อวัน หรือประเทศญี่ปุ่น มีปริมาณสัญญาซื้อขายเฉลี่ยอยู่ที่ 83,664 สัญญาต่อวัน