'บลจ.กรุงศรี'ชี้กองทุนโตต่อเนื่องเฉลี่ย10-20%

'บลจ.กรุงศรี'ชี้กองทุนโตต่อเนื่องเฉลี่ย10-20%

"บลจ.กรุงศรี" ประเมินแนวโน้มกองทุนเติบโตต่อเนื่อง เฉลี่ย 10-20% ช่วง 5 ปีหน้า เชื่อ "ภาษีมรดก" ไม่มีนัยสำคัญ

เศรษฐกิจไทยปีหน้ามีแนวโน้มชะลอตัว ท่ามกลางปัจจัยในต่างประเทศ ที่ยังมีการฟื้นตัวอย่างเปราะบาง และยังมีความจำเป็นต้องใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อเติมในเศรษฐกิจหลักของโลก แต่ในปีที่ผ่านมาธุรกิจกองทุนรวมของไทย ยังเติบโตได้ 24%และยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องจากปีนี้

เกี่ยวกับเรื่องนี้ "ฉัตรพี ตันติเฉลิม" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.กรุงศรี จำกัด มองว่า ธุรกิจกองทุนในไทย แม้จะเติบโตในแง่ของสินทรัพย์สุทธิเพิ่มขึ้นทุกปีก็จริง แต่ในแง่ของเชิงโครงสร้าง ถือว่ายังไม่แข็งแกร่งมากนัก เพราะเงินลงทุนในกองทุนมากกว่า 50% ลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ เช่น กองทุนตราสารตลาดเงิน หรือกองทุนตราสารหนี้

สำหรับนักลงทุน เป็นการมองในแง่ของการแสวงหาช่องทางลงทุน ที่ให้ผลตอบแทนมากกว่าเงินเป็นหลัก ไม่ต่างอะไรกับกองทุนประหยัดภาษี ที่นักลงทุนเข้ามาลงทุนเพื่อประโยชน์ทางภาษีเป็นหลัก ทำให้คนที่เข้ามาลงทุน เพราะหวังผลตอบแทนจากการลงทุนจริงๆ มีไม่มากนัก และยังไม่ได้ใช้ประโยชน์จากการลงทุนอย่างเต็มที่

"ดังนั้นเงินที่อยู่ในระบบกองทุน ในแง่ของโครงสร้างถือว่า ยังไม่เข้มแข็งและยังขาดแหล่งเงินทุนระยะยาว ซึ่งเป็นฐานสำคัญในการพัฒนาประเทศอีกมาก และคงต้องเดินหน้าให้ความรู้กับผู้ลงทุน และผู้ประกอบการต่อไป หากประเทศไทยมีฐานของแหล่งเงินทุนระยะยาวที่มากเพียงพอ จะสามารถนำไปใช้พัฒนาประเทศได้อย่างเป็นรูปธรรมอีกมาก เรื่องนี้ต้องขึ้นกับภาครัฐ หากสามารถผลักดันการออมภาคบังคับให้เกิดขึ้นได้ จะช่วยสนับสนุนเงินออมระยะยาวที่จะนำไปใช้ในการพัฒนาประเทศได้อีกมาก" ฉัตรพี กล่าว

ด้าน "ประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์" ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ.กรุงศรี จำกัด มองว่า อุตสาหกรรมกองทุนรวม ยังมีแนวโน้มเติบโตที่ดีเฉลี่ย 10-20% ต่อปี ในช่วง 5 ปี ข้างหน้า เพราะดอกเบี้ยในไทยยังทรงตัวในระดับต่ำต่อเนื่อง และยังมีโอกาสที่จะปรับลดลงได้อีกด้วย

ดังนั้นผู้มีเงินออมในระบบเงินฝากคงมองหาช่องทางลงทุน เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับตัวเอง หนึ่งในนั้นก็คือการลงทุนผ่านกองทุนรวมปีนี้ แม้เศรษฐกิจจะโตไม่มากแต่ธุรกิจกองทุนก็ยังโตได้ถึง 24%

ส่วนประเด็น "ภาษีมรดก" คงไม่ได้ส่งผลต่อธุรกิจกองทุนส่วนบุคคลอย่างมีนัยสำคัญเท่าไรนัก เพราะผู้ที่มีฐานะจะมีการบริหารเงินของตัวเองแล้วระดับหนึ่ง ประกอบกับกองทุนส่วนบุคคลในระบบเองก็มีเพดานขั้นต่ำค่อนข้างสูง 50-100 ล้านบาท ในระบบธนาคารพาณิชย์อาจจะเริ่มต้นเป็นระดับหลายร้อยล้าน ซึ่งตรงนี้คงไม่ได้ส่งผลกระทบมากนัก ส่วนคนที่มีเงินมากจริงๆ บางส่วน อาจจะนำออกไปนอกประเทศ ดังนั้นผลเกิดกับกองทุนส่วนบุคคลคงไม่มากนัก แต่กับกองทุนรวมอาจเห็นเงินเข้ามาลงทุนได้เพิ่มขึ้นเช่นกัน

ทั้งนี้บริษัทยังมีมุมมองในเชิงบวกตลาดหุ้นไทยปีหน้า โดยประเมินว่ากำไรบริษัทจดทะเบียนในปีหน้า จะโตได้เฉลี่ย 10%% ตลาดหุ้นไทยก็น่าจะโตได้ในระดับเดียวกัน โดยหุ้นกลุ่มที่น่าสนใจยังได้แก่กลุ่มรับเหมาก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ โดยมีปัจจัยบวกจากในประเทศจากความหวังในการลงทุนภาครัฐในโครงสร้างพื้นฐานระยะกลางถึงยาว ที่จะมีออกมาให้เห็นมากขึ้น

ขณะที่ปัจจัยในต่างประเทศในส่วนของแนวโน้มดอกเบี้ยสหรัฐนั้น ในรอบ 20 ปี ที่ผ่านมา มีการขึ้นดอกเบี้ย 4 ครั้ง ทำให้หุ้นตก 2 ครั้ง และหุ้นขึ้น 2 ครั้ง ในครั้งที่หุ้นตกเป็นเพราะสหรัฐขึ้นดอกเบี้ยเร็วและแรง แต่ในครั้งนี้คาดว่าจะเป็นการทยอยปรับขึ้นเพื่อหนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ซึ่งน่าจะเป็นปัจจัยบวกกับตลาดหุ้นมากกว่า เพราะจากข้อมูลในอดีตก็ยืนยันว่าการขึ้นดอกเบี้ยไม่ได้ทำให้หุ้นตกทุกครั้งไปเช่นกัน

ขณะที่ "ฐนิตพงศ์ ชื่นภิบาล" ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารความเสี่ยงด้านการลงทุน บลจ.กรุงศรี จำกัด ยอมรับว่า เศรษฐกิจสหรัฐอาจฟื้นตัวอย่างเปราะบาง แต่คงไม่กลับไปเกิดวิกฤติอีก และสหรัฐยังคงจำเป็นต้องหนุนนโยบายดอกเบี้ยต่ำต่อไป ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นด้วยเช่นกัน

ส่วนเศรษฐกิจไทย บริษัทได้ปรับลดอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในปี 2558 ลงเหลือ 4.2% จากเดิมที่คาดจะโตได้กว่า 6.0% โดยการปรับลดนี้ก็ยังเป็นเศรษฐกิจที่มีการเติบโตจากฐานที่ต่ำในปีนี้ รวมถึงเครื่องจักรทางเศรษฐกิจต่างๆ ที่อ่อนตัวลง ในด้านการส่งออกซึ่งเคยเป็นพระเอกก็คงต้องใช้เวลาปรับตัวเพราะพื้นฐานการส่งออกไทยในอดีตผลิตฮาร์ดดิสก์ แต่ปัจจุบันเทคโนโลยีเปลี่ยนการส่งออกคงไม่ดีเหมือนเดิม ในส่วนของยานยนต์ก็เช่นกันที่ต้องปรับตัวสูงการผลิตที่มีเทคโนโลยีสูงขึ้น ซึ่งตรงนี้คงต้องใช้เวลา

"การบริโภคภาคเอกชนก็ยังไม่เต็มที่เพราะมีหนี้ภาครัวเรือนที่สูง การลงทุนภาครัฐก็ยังไม่มากไม่เร็ว จากการตรวจสอบอย่างละเอียดมากขึ้น การต่อต้านคอร์รัปชัน ตลอดจนการจัดระเบียบร้านค้าแผงลอย และกวดขันธุรกิจผิดกฎหมาย จะทำให้เงินที่ไหลเข้ามาจับจ่ายใช้สอยในส่วนนี้ ทั้งทางตรงและทางอ้อมหายไปบางส่วนด้วยเช่นกัน"

ทั้งนี้"บลจ.กรุงศรี" ยังเชื่อมั่นว่า การที่ภาครัฐมุ่งความสำคัญไปในการลงทุนระยะกลางและยาว เพื่อวางโครงสร้างพื้นฐานของประเทศในระยะยาว จะหนุนให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้ในระดับ 4 - 5% ในอีก 10 ปี ข้างหน้า และจะหนุนให้ตลาดหุ้นไทยยังสดใสในระยะกลางถึงยาวด้วยเช่นกัน