จี้รัฐฟ้องแพ่งจำนำข้าว

จี้รัฐฟ้องแพ่งจำนำข้าว

3อาจารย์มธ.นำล่าชื่อยื่นนายกฯเรียกสินไหมทดแทน จี้รัฐฟ้องแพ่งจำนำข้าว "อภิสิทธิ์"ค้านนิรโทษคดีอาญา

"แก้วสรร-สุรพล-กิตติศักดิ์"3อาจารย์มธ.นำทีมกลุ่มสตป.ล่ารายชื่อพร้อมส่งจดหมายจี้"ประยุทธ์"ดำเนินคดีแพ่งเรียกค่าสินไหมทดแทนจาก "ยิ่งลักษณ์-ครม."ฐานประมาทเลินเล่อสร้างความเสียหายโครงการจำนำข้าวกว่า 5 แสนล้าน ระบุต้องตั้งกรรมการสอบความรับผิด ก่อนขาดอายุความ 2 ปี ด้านมติ สนช.96 ต่อ 82 ไม่รับหลักฐาน"นิคม"เพิ่ม-นัดแถลงเปิดคดีถอดถอน 8 ม.ค.

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายแก้วสรร อติโพธิ อาจารย์พิเศษคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) นายสุรพล นิติไกรพจน์ นายกิตติศักดิ์ ปรกติ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มธ. ได้ส่งจดหมายเปิดผนึกลงวันที่ 27 พ.ย.2557 ถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ให้ดำเนินคดีเรียกค่าสินไหมทดแทนความเสียหายโครงการจำนำข้าวจากนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี รวมไปถึงเรียกชดเชยความเสียหายจากครม.ชุดที่แล้วที่เป็นผู้ออกนโยบายจำนำข้าว ซึ่งสร้างความเสียหายจำนวนมากให้กับทางราชการ

เนื้อหาในจดหมายเปิดผนึกบางตอน ระบุว่า ตามที่คณะกรรมการตรวจสอบโครงการจำนำข้าว กระทรวงการคลัง ได้สรุปความเสียหายกว่า 6.82 แสนล้านบาท จากปี 2547-2556 เสนอต่อรัฐบาลแล้วนั้น ข้าพเจ้าทั้งสามเห็นพ้องต้องกันว่าเฉพาะในส่วนโครงการของรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ 4 โครงการที่ขาดทุนทางบัญชีกว่า 5.1 แสนล้านบาทนั้น มีความเสียหายอันเกิดจากความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ที่บรรดารัฐมนตรีในรัฐบาลก่อนและข้าราชการระดับสูงต้องร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้แก่แผ่นดินรวมอยู่ด้วยนับแสนล้านบาท และนายกฯ มีอำนาจหน้าที่ตามพ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 ต้องเร่งรัดดำเนินคดีตามขั้นตอน

ชี้มีผู้ท้วงติงความเสียหายแต่ฝืนทำ

รายงานของคณะกรรมการได้สรุปชัดเจนแล้วว่า มีความเสียหายเป็นตัวเงิน เกิดแก่ราชการอย่างมหาศาลยิ่ง และเห็นได้ชัดเจนตั้งแต่ปีแรกที่เริ่มโครงการแล้วว่า ไม่มีทางที่รัฐจะระบายข้าวในราคารับจำนำได้เลย ความข้อนี้มีผู้ท้วงติงเป็นอันมาก ทั้งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ( ป.ป.ช.) และสถาบันศึกษาวิจัยระดับชาติ แต่บรรดารัฐมนตรีในรัฐบาลกลับเพิกเฉย ไม่ระงับหรือปรับแก้โครงการตามวิสัยที่เจ้าหน้าที่ผู้รู้จักรับผิดชอบในราชการพึงกระทำ กลับฝืนผลักดันโครงการต่อไปทั้งๆ ที่ตระหนักดีว่า เกิดความเสียหายแก่แผ่นดินอยู่ทุกวันจนต่อมาแม้จะได้สำนึกยอมลดวงเงินจำนำและตั้งเงื่อนไขกรอบรับจำนำแต่เพียงบางส่วน ก็มิอาจจะเยียวยาความเสียหายอย่างมหาศาลที่เกิดขึ้นแล้วได้

อ้างทำตามนโยบายเลี่ยงความผิดไม่ได้

การปฏิบัติหน้าที่โดยเพิกเฉยไม่ใยดีต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นเช่นนี้ เป็นพฤติการณ์ที่รับไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง แม้นักการเมืองผู้รับผิดชอบ จะอ้างว่าเป็นนโยบายรัฐบาลที่ตนมีอำนาจกระทำได้ตามสัญญาที่ให้ไว้ทั้งต่อเกษตรกรและรัฐสภาก็ตาม แต่ก็อ้างให้พ้นผิดไปไม่ได้เพราะการใช้อำนาจที่เห็นได้ชัดแล้วว่ามีแต่จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นนี้ ในทางกฎหมายถือว่าเป็นการใช้สิทธิเกินส่วนที่ไม่อาจยกฐานความชอบธรรมใดๆมากล่าวอ้างได้เลยทั้งสิ้น

จี้ตั้งกก.สอบความรับผิดก่อนหมดอายุความ

ความเสียหายนี้ตกแก่แผ่นดินและราษฎรผู้เสียภาษีเป็นส่วนรวม เจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีความรับผิดติดตัวในครั้งนี้คือ ครม.ทั้งคณะ และข้าราชการระดับสูง ซึ่งเมื่อผู้กระทำผิดเป็นเจ้าหน้าที่ระดับรัฐมนตรีอย่างนี้ พ.ร.บ.ความรับผิดฯ และระเบียบสำนักนายกฯ ข้อ 8 ,9 และ10 ได้กำหนดให้นายกรัฐมนตรี มีหน้าที่ต้องสั่งแต่งตั้ง “คณะกรรมการตรวจสอบความรับผิด” ขึ้นตรวจสอบและรายงานผลต่อท่านโดยมิชักช้า อย่าให้ขาดอายุความ 2 ปี นับแต่วันที่รัฐได้รู้ซึ่งการละเมิด มิเช่นนั้นตัวนายกฯก็จะตกเป็นผู้ต้องรับผิดแทนบุคคลเหล่านี้

หน้าที่ดำเนินคดีให้ผู้รับผิดชอบต้องชดใช้ความเสียหายนี้บังเกิดขึ้นแล้ว ตามกฎหมายนับแต่วันที่คณะกรรมการได้รายงานความเสียหายให้นายกฯได้ทราบ แม้ขณะนี้จะมีการดำเนินคดีในทางอาญาหรือในทางรัฐธรรมนูญใดๆ ต่อรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องก็ตาม หน้าที่นี้ก็ยังคงดำรงอยู่

ชี้"ประยุทธ์"เลี่ยงเรียกความรับผิดไม่ได้

หน้าที่นี้เป็นหน้าที่ทางกฎหมายปกครองที่ตกแก่ผู้ดำรงตำแหน่งนายกฯ ในทุกยุคทุกสมัย ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลเลือกตั้งหรือรัฐบาลของคณะรัฐประหารก็ตาม ดังนั้นเมื่อตัดสินใจมารับตำแหน่งนายกฯ ก็ต้องมีหน้าที่นี้เสมอ จะบ่ายเบี่ยงยกเอาฐานะหัวหน้าคณะรัฐประหารมาปฏิเสธหน้าที่ของตำแหน่งนายกฯ มิได้

"การเรียกร้องครั้งนี้เป็นการเสนอทางวิชาการ ให้นายกฯได้ทราบถึงหน้าที่รักษาผลประโยชน์ของแผ่นดินที่มีอยู่ตามกฎหมายเท่านั้น ไม่ได้ข้องเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวทางการเมือง หรือความเป็นฝักฝ่ายใดๆทั้งสิ้น เพราะยืนหยัดแต่เพียงว่า อยู่ดีๆใครทำอะไรเสียหายก็จะให้ประชาชนเช่นพวกข้าพเจ้าแบกรับไปง่ายๆ นั้น เป็นสิ่งที่รับไม่ได้อีกต่อไป" เนื้อหาในจดหมายเปิดผนึกระบุ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า โครงการนี้ริเริ่มและประสานงานโดยกลุ่ม“ไทยสปริง” โดยพล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร, นายแก้วสรร อติโพธิ, นายขวัญสรวง อติโพธิ และนายวิวัฒน์ รัตนพิทักษ์ มีวัตถุประสงค์มุ่งรณรงค์รวบรวมชื่อ ผู้ไม่ยอมรับภาระความเสียหายในโครงการรับจำนำข้าว สมัยรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ เสนอต่อนายกฯ ปัจจุบันเพื่อดำเนินคดีเรียกค่าเสียหายจากผู้เกี่ยวข้อง โดยได้ตั้งกลุ่มชื่อ สตป. ย่อมาจาก "สนับสนุนนายกฯตู่เรียกร้องค่าเสียหายจำนำข้าวจากรัฐบาลปู" โดยได้เปิดเพจชื่อ"ตู่ฟ้องปู" เพื่อประชาสัมพันธ์รณรงค์ให้ผู้ที่เห็นด้วยกับการเรียกร้องความเสียหายได้มาลงชื่อสนับสนุน

"อภิสิทธิ์"ค้านนิรโทษคดีอาญา

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) ได้เข้าพบคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญ ที่มีนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานกมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ เป็นประธาน เพื่อเสนอแนะการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่

พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช ที่ปรึกษาและโฆษกกมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ แถลงผลการรับฟังความเห็นและข้อเสนอแนะของนายอภิสิทธิ์ ว่า มีข้อเสนอให้นายเทียนฉาย กีระนันน์ ประธานสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) หรือ นายบวรศักดิ์ ทำหนังสือไปยัง พล.อ.ประยุทธ์ ให้แก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ปลดล็อคข้อจำกัดการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ นอกจากนี้ นายอภิสิทธิ์ ไม่เห็นด้วยต่อประเด็นการนิรโทษกรรมให้กับบุคคลต้องคดีอาญา และคดีทุจริต คอร์รัปชัน

นายอภิสิทธิ์ ยังให้สัมภาษณ์ก่อนเข้าพบกมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ เสนอให้มีการยกเลิกการประกาศใช้กฎอัยการศึกทั่วราชอาณาจักร เพื่อประโยชน์ต่อการทำงานปฏิรูปและยกร่างรัฐธรรมนูญในการรับฟังความเห็นที่หลากหลาย

พท.หนุนนิรโทษผู้ชุนนุมด้วยใจบริสุทธิ์

ด้านนายอุดมเดช รัตนเสถียร อดีตส.ส.นนทบุรี พรรคเพื่อไทย(พท.) กล่าวถึงกรณีมีการเตรียมเสนอให้นิรโทษกรรมคู่ขัดแย้งสองฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุมทางการเมืองว่า ตนเห็นด้วยที่จะนิรโทษกรรมให้กับผู้ร่วมชุมนุมที่มาด้วยความบริสุทธิ์ใจและไม่เกี่ยวข้องกับคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ แต่ผู้ที่มีคดีพยายามฆ่าหรือทำให้ผู้อื่นเสียหายนั้นต้องชดใช้ เชื่อว่าหากทั้ง 2 ฝ่ายยอมรับจะทำให้เกิดความปรองดองขึ้นได้ในระดับหนึ่ง เพราะจะช่วยลดความตึงเครียดและความเคียดแค้นของคนที่เป็นผู้ต้องหาโดยไม่ได้ตั้งใจ

ให้16สนช.ร่วมพิจารณาถอดถอน"นิคม"ต่อ

ขณะที่ในการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ที่มีนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสนช. เป็นประธาน เพื่อพิจารณาวาระการถอดถอนนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ อดีตประธานรัฐสภา และนายนิคม ไวยรัชพานิช อดีตประธานวุฒิสภา นายพรเพชร ได้แจ้งว่า นายนิคมได้มีหนังสือถึงประธานสนช.เพื่อขอคัดค้านการทำหน้าที่ของสนช. 16 คน ไม่ให้เข้าร่วมกระบวนการถอดถอนครั้งนี้ เนื่องจากเคยเป็นผู้เข้าชื่อร้องถอดถอนนายนิคมออกจากตำแหน่งและยังมีส่วนร่วมในการพิจารณารัฐธรรมนูญ เรื่องที่มาส.ว.

จากนั้นนายพรเพชร ได้เปิดโอกาสให้สมาชิกสนช.อภิปรายแสดงความเห็น ซึ่งสมาชิกส่วนใหญ่ได้อภิปรายไปในทิศทางเดียวกันคือ สนับสนุนให้ทั้ง 16 คนทำหน้าที่ต่อไปได้ โดยให้เหตุผลว่า เป็นการทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ อีกทั้งกฎหมายปัจจุบันกำหนดให้สนช.ต้องทำหน้าที่พิจารณาเรี่องการถอดถอน ไม่สามารถจะถอนตัวจากการพิจารณาได้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากเปิดโอกาสให้สมาชิกสนช.แสดงความเห็นอย่างกว้างขวาง นายพรเพชร สรุปโดยใช้วินิจฉัยส่วนตัว ให้สนช.ทั้ง 16 คน ทำหน้าที่ต่อไปได้

สนช.นัดเปิดคดีถอด"นิคม-สมศักดิ์"8ม.ค.

จากนั้นนายพรเพชร ได้แจ้งมติวิปสนช.ให้ที่ประชุมทราบว่า จะมีการแถลงเปิดสำนวนของนายนิคม ในวันที่ 8 ม.ค.2558 ต่อมาเข้าสู่วาระการพิจารณาขอเพิ่มเติมหลักฐานของนายนิคม โดยได้ เชิญนายนิคม และตัวแทนฝ่ายป.ป.ช.ได้แก่ นายวิชา มหาคุณ กรรมการป.ป.ช. นายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการป.ป.ช.เข้าชี้แจง ซึ่งนายนิคม ได้นำวีดีทัศน์การประชุมร่วมรัฐสภา เพื่อแก้รัฐธรรมนูญ เรื่องที่มาส.ว. เวลา 4 ชั่วโมง มาเป็นหลักฐานเพิ่มเติม

มติสนช.ไม่รับหลักฐาน"นิคม"เพิ่ม

นายนิคม กล่าวตอนหนึ่งว่า แผ่นซีดีหลักฐานดังกล่าวได้เคยยื่นต่อป.ป.ช. แต่ไม่ปรากฏว่า ป.ป.ช.นำแผ่นซีดีดังกล่าวมาวินิจฉัยและลงมติ อาจจะด้วยความรีบร้อน หรือมีข้อกล่าวหายาวมาก แต่เชื่อว่า ป.ป.ช.คงไม่ได้ดูหลักฐานในซีดีบันทึกการประชุมทั้ง 120 ชั่วโมง ตนจึงยื่นหลักฐานใหม่เพิ่มเติมต่อสนช. เป็นแผ่นซีดี 2 แผ่น ที่ย่อการประชุม 120 ชั่วโมง เหลือ 4 ชั่วโมง เพื่ออธิบายเหตุการณ์ทั้งหมด

นายนิคม กล่าวว่า ทราบว่า สิ่งที่ร้องกล่าวหาตนนั้น ไม่ถูกต้อง อยากเตือนสติสนช. 16 คน ที่วางตัวไม่เป็นกลาง ทั้งที่ตนไม่ได้ร่วมลงชื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ เมื่อมีโอกาสจึงต้องร้องคัดค้าน ถ้ามีจิตสำนึกและความเป็นคน ต้องไม่ใส่ร้ายหรือก้าวร้าวคนที่ทำหน้าที่เป็นประธานที่ประชุม

นายวิชา มหาคุณ กรรมการป.ป.ช. ชี้แจงว่า การที่นายนิคมจะยื่นเพิ่มเติมหลักฐานสำคัญเป็นแผ่นซีดี 2 แผ่น วัตถุพยานดังกล่าวนั้น องค์คณะป.ป.ช.ได้รวบรวมไว้ในสำนวนไต่สวนเรียบร้อยหมดแล้ว ก่อนที่จะแจ้งข้อกล่าวหา โดยมีหลักฐานแผ่นซีดีทั้งหมดรวม 91 แผ่น เพียงแต่นายนิคมได้ตัดต่อให้มีเนื้อหาสั้นลง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังเสร็จสิ้นการชี้แจง นายพรเพชร ได้ให้นายนิคมและตัวแทนป.ป.ช.ออกจากห้องประชุม และได้ขอมติจากที่ประชุมว่า จะอนุญาตให้นายนิคม เพิ่มเติมหลักฐานเป็นซีดี 2 แผ่นได้หรือไม่ ซึ่งมติที่ประชุมมีมติไม่ให้รับหลักฐานดังกล่าว ด้วยคะแนน 96 ต่อ 82 งดออกเสียง 14 เสียง