เอ็มลิ้งค์ขยับหุ้นลบภาพการเมือง

เอ็มลิ้งค์ขยับหุ้นลบภาพการเมือง

หุ้นใหญ่เอ็มลิ้งค์เปลี่ยนมือ ดัน เอ็มแอดวานซ์ โฮลดิ้งขึ้น ถือหุ้นใหญ่แทนกลุ่มใกล้ชิดการเมือง "ประสิทธิ" ยันไม่ใช่แหล่งทุนการเมือง

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย รายงานว่า สัดส่วนผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท เอ็ม ลิ้งค์ เอเชีย คอร์ปอเรชั่น มีการเปลี่ยนแปลง จากปิดสมุดบัญชีผู้ถือหุ้นครั้งล่าสุด เมื่อวันที่ 25 มี.ค.ที่ผ่านมา พบว่า บริษัทเอ็ม แคปปิตอล โฮลดิ้ง ผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 ถือหุ้น 40.94 ล้านหุ้น หรือ 7.58% ลดลงจากการปิดสมุดบัญชีผู้ถือหุ้นครั้งก่อนที่ ถือหุ้น 152.45 ล้านหุ้น หรือ 28.23%

นอกจากนี้ ยังปรากฏชื่อ บริษัท เอ็ม แอดวานซ์ โฮลดิ้ง จำกัด ซึ่งมีน.ส.ชยาภา วงศ์สวัสดิ์ นายยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ น.ส.ชินณิชา วงศ์สวัสดิ์ บุตรนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี และนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ อดีต ส.ส.เชียงใหม่ เขต 3 พรรคเพื่อไทย ร่วมเป็นกรรมการเข้ามาถือหุ้นใหญ่อันดับ 2 โดยถือหุ้น 30.81 ล้านหุ้น หรือ 5.71% และบริษัท สามารถ ไอ-โมบาย จำกัด (มหาชน) เข้ามาถือหุ้น 25 ล้านหุ้น หรือ 4.63% เป็นอันดับ 3

ขณะเดียวกัน นายยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ ผู้ถือหุ้นอันดับ 2 ได้ขายหุ้นออกไปทั้งหมด 54.23 ล้านหุ้น หรือ 10.04% และนายรัตนพล วงศ์นภาจันทร์ กรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท พีเออี (ประเทศไทย) ผู้ถือหุ้นอันดับ 6 ขายหุ้นออกไปทั้งหมด 6 ล้านหุ้น หรือ 1.11% เช่นกัน

นายประสิทธิ์ ศรีสุวรรณ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอ็ม ลิ้งค์ เอเชีย คอร์ปอเรชั่น เปิดเผยว่า บริษัท เอ็มลิ้งค์ นั้นไม่ใช่บริษัทที่เป็นแหล่งทุนการเมือง หรือการเข้ามาบริหารงานของตนก็ไม่ได้เข้ามาเพื่อบริหารพอร์ตลงทุนให้กับใคร โดยก่อนที่จะเข้ามารับงาน ได้มีการพูดคุยกับบริษัทชัดเจนถึงขอบเขตการทำงานทั้งหมด ซึ่งเงื่อนไขก่อนที่เข้ารับตำแหน่งคือ บริษัทต้องมีธรรมาภิบาล และปรับปรุงทุกอย่างให้เป็นระบบมากขึ้น

"ผมมีความสนใจในธุรกิจไอที และพลังงาน หากมีโอกาสที่จะเข้ามาในธุรกิจดังกล่าว นับว่าเป็นโอกาสดี ที่จะได้เรียนรู้งานและแสดงความเป็นมืออาชีพ หลังจากรับตำแหน่งช่วงเดือนก.พ.ที่ผ่านมา ผมเข้ามาจัดระบบต่างๆ ของบริษัทให้มีความเพียบพร้อมมากขึ้น และการจัดการเรื่องสต็อกสินค้า จัดทำระบบบัญชีใหม่ ทำให้ผลประกอบการไตรมาสแรกปีนี้อาจไม่เติบโตนัก เพราะเป็นช่วงแรกที่เข้ามาดำเนินงาน"

สำหรับแนวโน้มการเติบโตของบริษัท น่าจะเริ่มมีให้เห็นในช่วงไตรมาส 2 เป็นต้นไป และเชื่อมั่นปีนี้จะมีกำไรได้ โดยมองรายได้ปีนี้จะอยู่ที่ 4,800-5,000 ล้านบาท จะเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 20% มาจากการขายสินค้าเดิมของบริษัท 80% และสินค้าชนิดใหม่ที่จะเข้ามาขายเพิ่มขึ้นอีก 20% โดยบริษัทยังมีแผนจะนำเอากล่องรับสัญญาณทีวีดิจิทัลเข้ามาจำหน่าย โดยตั้งเป้าจำหน่ายให้ได้ 3 ล้านกล่องในปีนี้

ส่งผลให้ในระยะต่อไป สัดส่วนรายได้จากการขายสินค้าใหม่ จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ส่วนการเติบโตกำไรสุทธิ จะเป็นไปในทิศทางเดียวกับรายได้ โดยน่าจะเติบโตในระดับ 20% เช่นกัน

ส่วนการขาดทุนสะสมของบริษัทที่มีอยู่ประมาณ 800 ล้านบาท คาดว่า จะสามารถล้างหนี้ดังกล่าวในระยะเวลา 3 ปี จากกรอบเวลาทั้งหมด 5 ปี และจะสามารถจ่ายเงินปันผลได้ในปี 2558

นอกจากนี้บริษัทยังแผน ที่จะนำบริษัทลูกอย่างบริษัท เอ็มซีด ซึ่งเป็นบริษัทผลิตเกม เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยมองว่าจะสามารถเข้าจดทะเบียนได้ในช่วงปลายปี 2558