ผบ.ตร.แถลงยิงในห้างพารากอน เสียชีวิต2ราย ผู้ก่อเหตุ มีประวัติป่วยทางจิต

ผบ.ตร.แถลงยิงในห้างพารากอน เสียชีวิต2ราย ผู้ก่อเหตุ มีประวัติป่วยทางจิต

ผบ.ตร.แถลงเหตุยิงในห้างพารากอน เสียชีวิต2ราย พบผู้ก่อเหตุ อายุ 14 ปี มีอาการเบลอ.ประวัติป่วยทางจิต แต่ไม่ได้กินยา

วันที่ 3 ต.ค. ที่ ห้างสรรพสินค้าสยามพารากอน พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยกับสื่อมวลชน ว่า  จากการตรวจสอบเบื้องต้น ผู้ก่อเหตุยังไม่สามารถให้การได้ มีประวัติการรักษาทางจิตเวชที่โรงพยาบาลราชวิถี และพบว่ามีการขาดการรักษา ไม่ได้รับประทานยารักษาโรคตามที่แพทย์กำหนด ขณะนี้ไม่สามารถให้รายละเอียดในเรื่องของประวัติครอบครัวได้ รวมถึงแรงจูงใจที่ใช้ในการก่อเหตุ เพื่อไม่อยากให้เกิดพฤติกรรมเลียนแบบในสังคม 

ส่วนสถานที่เกิดเหตุจากการตรวจสอบในเบื้องต้นเป็นการไล่ก่อเหตุ ตั้งแต่บริเวณชั้นเอ็ม ไล่ไปจนถึงชั้น 3 ซึ่งหลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถเข้าควบคุมสถานการณ์ได้ และเข้าพื้นที่ได้ภายใน 5 นาที สามารถจับกุมผู้ก่อเหตุได้ในเวลาต่อมา ทางนี้ขอชื่นชมศูนย์การค้า ที่ได้ใช้ยุทธวิธีในการฝึกอบรมมาทำให้สามารถเอาตัวรอดและหาที่กำบังให้เกิดความปลอดภัยในขณะเกิดเหตุได้ และบริหารจัดการทุกอย่างได้อย่างรวดเร็ว 

ซึ่งลำดับการก่อเหตุในขณะนี้ยังต้องมีการรวบรวมรายละเอียดอย่างต่อเนื่อง และอยู่ระหว่างการตรวจสอบกล้องวงจรปิด เพื่อเรียบเรียงลำดับเหตุการณ์ที่ชัดเจน โดยจะให้ทางโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้รายละเอียดในภายหลัง 

ส่วนอาวุธปืนที่ใช้ในการก่อเหตุ พบว่าเป็นปืนที่เรียกว่า blank gun หรือโมเดลอาวุธปืน ที่ถูกดัดแปลงนำมาใช้กับกระสุนจริง แหล่งที่มาของปืน รวมถึงการนำอาวุธปืนเข้าไปไปห้างสรรพสินค้าได้อย่างไร อยู่ระหว่างการตรวจสอบเพิ่มเติม

เสียชีวิตพบว่าเสียชีวิตบริเวณชั้น จี เป็นหญิงชาวจีน ส่วนผู้ถูกยิงอีก 1 คนเป็นชายชาวเมียนมา ยังไม่ทราบว่าถูกยิงที่ชั้นไหน ไปเสียชีวิตที่โรงพยาบาลตำรวจในเวลาต่อมา 

ส่วนตัวผู้ก่อเหตุซึ่งเป็นเยาวชนอายุ 14 ปี ถูกควบคุมตัวไปที่สน.ปทุมวัน เพื่อทำการสอบปากคำ โดยจะประสานทางสหวิชาชีพเข้ามาร่วมสอบปากคำด้วยเนื่องจากผู้ก่อเหตุอย่างเป็นเยาวชน และขณะนี้อยู่ระหว่างการประสานผู้ปกครองของผู้ก่อเหตุ ขณะนี้ยังไม่สามารถติดต่อได้

ส่วนการสร้างความเชื่อมั่นในการท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวชาวจีน ยืนยันว่าตำรวจทำทุกอย่างเพื่อป้องกันและดูแลความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว รวมถึงนายกรัฐมนตรีได้กำชับ เรื่องมาตรการดูแลความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวเป็นสำคัญ