ผู้นำที่บรรลุแล้ว

ผู้นำที่บรรลุแล้ว

การเลือกตั้งทั่วไปผ่านพ้นไปแล้ว เมื่อทราบผลการนับคะแนนเลือกตั้งในเบื้องต้น ดิฉันนึกถึงบทความเดิมที่เคยเขียนไว้เมื่อ สิบกว่าปีที่แล้วชื่อว่า “ผู้นำ”

โดยนำการบรรยายของ ศาสตราจารย์ วี เชา ฮุย คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยี นันยาง ของสิงคโปร์ ที่กล่าวถึงคุณสมบัติที่ผู้นำพึงมี และไม่พึงมี รวมถึงปรัชญาจีนเกี่ยวกับ “การเป็นผู้นำที่บรรลุแล้ว” (Enlightened Leadership) ซึ่งคิดว่ามีประโยชน์ต่อการนำเสนอในช่วงเวลาที่สำคัญนี้

ศาสตราจารย์วีกล่าวถึง คุณลักษณะที่ผู้นำควรจะมี 5 อย่างคือ 1. ความลุ่มลึก หรือ Wisdom เพื่อที่จะรู้ว่าผู้ตามหรือผู้อยู่ใต้การปกครองต้องการความช่วยเหลืออะไร 2. ความน่าเชื่อถือ (Trustworthiness) ผู้นำต้องได้รับความเชื่อถือ ไว้วางใจ จากผู้ร่วมงานและลูกค้า  3. มีจิตใจดี (Benevolence) 4. มีความกล้าหาญ (Courage) ต้องกล้าทำ  5. มีวินัย (Discipline)

ส่วนคุณสมบัติที่เป็นด้านลบซึ่งไม่พึงมีในผู้นำคือ 1. ความประมาทเลินเล่อ (Reckless)  2. ความขี้ขลาด (Coward) กลัวตาย กลัวการทำงานหนัก  3. ใจเร็ว อารมณ์ร้อน (Quick Temper) เพราะอาจทำให้ตัดสินใจผิดพลาด ศาสตราจารย์วี ได้ยกตัวอย่างว่าคนที่มีลักษณะเช่นนี้ จะต้องการชำระความแค้นอย่างรวดเร็ว  4. การถือเรื่องศักดิ์ศรีมากเกินไป (Sensitive to Honor) ซึ่งจะต่างกับคุณสมบัติข้อที่ 3 เพราะคนที่มีลักษณะอย่างนี้ จะเก็บความแค้นไว้ โดยถือว่าแก้แค้นในสิบปีก็ยังไม่สาย  และ 5. ใจอ่อนมากเกินไป (Overly Compassionate)

ศาสตราจารย์วี ได้กล่าวถึงปรัชญาจีนว่า ได้คิดเรื่องต่างๆอย่างลึกซึ้งทีเดียว ซึ่งท่านได้ใช้เวลาศึกษาอยู่หลายปี จึงเข้าใจปรัชญาของ “การเป็นผู้นำที่บรรลุแล้ว” (Enlightened Leadership)

คำว่า “บรรลุ” หรือ Enlightened คือคำว่า “หมิง” ในภาษาจีน ซึ่งประกอบด้วยคำว่า “รื่อ” ซึ่งแปลว่า “วัน” หรือ “ดวงอาทิตย์” กับคำว่า “ยู่” หรือ “เดือน” หรือ “ดวงจันทร์” คือมีคำสองคำที่มีความหมายตรงข้ามกันมารวมกัน หมายถึง มีแสงสว่าง หรือมีความสว่างตลอด 24 ชั่วโมง

การจะหาคุณสมบัติของผู้นำที่บรรลุแล้ว หรือ Enlightened Leader จึงต้องมาพิจารณาดูคุณสมบัติของ “แสง” โดยคุณสมบัติของแสง ที่ศาสตราจารย์วี รวบรวมมามีอยู่ 6 ประการคือ

  1. แสงจะส่องออกไปภายนอก เปรียบเสมือนผู้นำที่ต้องเป็นผู้ออกไปหาคนอื่นก่อน
  2. แสงจะไม่เลือกที่จะส่องยังจุดใดจุดหนึ่ง แสงจะส่องสว่างไปทุกจุดที่มีแสงผ่าน เปรียบเสมือนผู้นำต้องไม่เลือกปฏิบัติ ต้องให้ความยุติธรรมแก่ทุกคน ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง
  3. แสงทำให้ความมืดหายไป ทำให้ไม่มีจุดบอด เปรียบเสมือนผู้นำที่ต้องเป็นผู้ให้แนวทางและชี้จุดที่ต้องการให้มุ่งความสนใจ ผู้นำต้องทำให้เกิดความหวังและความกระจ่าง และการไม่มีจุดบอดหมายถึงการที่ตัวผู้นำเองต้องโปร่งใส ไม่มีสิ่งซ่อนเร้น
  4. แสงให้พลัง ผู้นำต้องกระตุ้นให้องค์กรมีพลัง และต้องทำให้งานมีความท้าทาย
  5. ในวิชาฟิสิกส์เราเรียนมาว่า คุณสมบัติของแสงคือ แสงเดินทางเป็นเส้นตรง ผู้นำต้องน่าเชื่อถือ ต้องมีความซื่อสัตย์ มีความจริงใจ และสร้างความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว
  6. แสงทำให้ความกลัวหายไปและทำให้เกิดความกล้าหาญ  ผู้นำต้องมีความชัดเจน มีหิริโอตัปปะ (conscience) คือมีความละอายและเกรงกลัวต่อบาป และผู้นำต้องกล้าที่จะเสี่ยง

ศาสตราจารย์วี ยังกล่าวเสริมว่า ผู้นำต้องไม่แสวงหาผลประโยชน์หรือความชอบส่วนตน ต้องไม่กลัวผลลัพธ์ที่เกิดจากการกระทำ และต้องมีใจจรดจ่อกับการปกป้องและดูแลทุกข์สุขของผู้ใต้บังคับบัญชา

ในบทความเดิมดิฉันเขียนไว้ด้วยว่า ดิฉันเชื่อว่าบทความนี้จะมีประโยชน์ต่อผู้อ่าน และเห็นว่าสามารถปรับไปใช้ได้ทั้งในระดับครอบครัว ระดับองค์กร และยังสามารถใช้ได้ในระดับประเทศอีกด้วย

หากผู้นำทุกคนเป็น “ผู้นำที่บรรลุแล้ว” ดิฉันเชื่อแน่ว่า สมาชิกในครอบครัว ในองค์กร ไปจนถึงระดับประเทศ คงจะเป็นสุขกันโดยถ้วนหน้าเป็นแน่แท้

อยากแบ่งปันเทคนิคที่ดิฉันใช้สำหรับการทำงานยาก งานที่ไม่เคยทำ หรืองานที่มีความซับซ้อน ดิฉันใช้วิธี “แสวงหาคำแนะนำ และขอความช่วยเหลือ” จากผู้มีประสบการณ์ หากเป็นภาษาอังกฤษ ก็สรุปเรียกว่า “Seek advice from experts.” เราอาจจะเก่งเรื่องหนึ่ง แต่พอถึงเวลาต้องดูแล ต้องตัดสินใจในเรื่องที่เราไม่มีประสบการณ์ การเชิญผู้เชี่ยวชาญมาให้คำแนะนำ มาเป็นที่ปรึกษา หรือแม้กระทั่งมารับตำแหน่งบริหาร เพื่อช่วยให้งานสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ล้วนเป็นสิ่งที่ผู้นำพึงกระทำทั้งสิ้น เพราะเราตั้งใจ “ทำให้ดีที่สุด”

พอเรามีทีมงานที่พร้อม มีที่ปรึกษาที่มีประสบการณ์มีความเชี่ยวชาญ เราก็ไม่ต้องกลัวอะไร มั่นใจพร้อมที่จะลุยทุกงาน ไม่ว่าจะยากเย็นเพียงไร ก็ไม่เหลือบ่ากว่าแรงค่ะ

ขอปิดท้ายด้วยคำแนะนำจากอดีตประธานาธิบดีบารัค โอบามา เกี่ยวกับผู้นำดังนี้ “อย่ากลัวที่จะถามคำถาม อย่ากลัวที่จะขอความช่วยเหลือหากต้องการความช่วยเหลือ ข้าพเจ้าทำอย่างนั้นทุกวัน การขอความช่วยเหลือไม่ใช่การแสดงออกถึงความอ่อนแอ มันเป็นการแสดงสัญญาณของความเข้มแข็ง มันแสดงว่าท่านมีความกล้าหาญที่จะยอมรับเมื่อท่านไม่รู้อะไรบางอย่าง และมีความกล้าหาญที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ” 

“Don't be afraid to ask questions. Don't be afraid to ask for help when you need it. I do that every day. Asking for help isn't a sign of weakness, it's a sign of strength. It shows you have the courage to admit when you don't know something, and to learn something new.”   - President Barack Obama