'มินิ'ฟังก์ชั่นใช้งานเพิ่มความสนุกยังคงเดิม

'มินิ'ฟังก์ชั่นใช้งานเพิ่มความสนุกยังคงเดิม

มินิ รถเล็กชื่อดังที่มีจุดกำเนิดจากภาพสเก็ตบนกระดาษทิชชู ของ อเล็ก อิสซิโกนิส

ที่กำลังนั่งจิบอะไรสักอย่างอยู่ริมทะเลฝรั่งเศสหลังจากวิศวกรออกแบบคนนี้ได้รับโจทย์ใหญ่ในยุคที่ยุโรปกำลังเผชิญวิกฤติน้ำมันครั้งใหญ่ ว่าให้สร้างรถที่รถเล็ก กินน้ำมันน้อยๆ แต่นั่งได้ 4 คน และในที่สุดเขาก็ได้ภาพสเก็ตช์ที่ต่อมากลายเป็นรถที่โด่งดังไปทั่วโลกซึ่งเปิดตัวครั้งแรกปี 2502

หลักการสำคัญในการออกแบบก็คือจัดการวางเครื่องแบบขวาง และยืดล้อออกไปที่มุมตัวถังให้มากที่สุด เพื่อเพิ่มพื้นที่ภายในห้องโดยสาร และมันยังคงเป็นเอกลักษณ์สำคัญมาถึงทุกวันนี้

มินิ เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญเมื่อมันเข้ามาอยู่ภายใต้ปีกของบีเอ็มดับเบิลยู และมินิยุคใหม่ที่ผสมผสานกันระหว่างตำนาน เอกลักษณ์เฉพาะตัว กับเทคโนโลยีของค่ายใบพัดสีฟ้า ก็เริ่มออกสู่ตลาดในปี 2544 และถึงวันนี้มันเดินทางมาถึงเจเนอเรชั่นที่ 3 กับรหัสใหม่ เอฟ 56

เอฟ 56 มีการเปลี่ยนแปลงไม่น้อย แต่ว่าหลักใหญ่ใจความ พยายามคงเอกลักษณ์ให้รู้ได้ทันทีว่านี่คือมินิ

จุดที่เปลี่ยนแปลงรวมถึงขนาดตัวถังที่ใหญ่ขึ้นในทุกมิติ เช่น ความยาวเพิ่มขึ้น 98 มม.กว้างเพิ่ม 44 มม. สูงขึ้น 7 มม. ฐานล้อเพิ่มขึ้น 28 มม.พื้นที่เก็บสัมภาระด้านท้ายเพิ่ม 51 ลิตร ซึ่งใครที่ติดตามมินิมาตั้งแต่เจเนอเรชั่นแรก จะเห็นได้ว่ามันอยู่ดีกินดี ถึงตัวใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งก็เป็นผลมาจากการตอบสนองต่อตลาด ที่ต้องการพื้นที่ใช้สอยเพิ่มมากขึ้น แม้จะชื่นชอบความเป็นมินิก็ตาม

เช่นเดียวกับการเปลี่ยนแปลงในส่วนอื่นๆ ตามความต้องการของตลาด เช่น ช่วงล่างที่ไม่ได้ดิบเหมือนกับรุ่นแรก ลูกเล่นภายในที่เพิ่มเติมเข้ามามากมาย ทั้งแสงสีเสียง เช่น วงแหวนแอลอีดีที่จอกลางคอนโซล ซึ่งจะเปลี่ยนสีไปมาตามการขับขี่ เช่น ขับประหยัดก็เป็นสีเขียว แต่ถ้าเท้าหนักๆ ก็เป็นสีแดง หรือ เมื่อถอยจอด ถ้าท้ายรถยังห่างสิ่งกีดขวางมันจะเป็นเขียว ก่อนขยับเป็นเหลือง และแดงเมื่อเข้าใกล้ เพื่อเตือนผู้ขับขี่ เป็นต้น

ลูกเล่นอื่นๆ เช่น มินิ คอนเนคท์ ทำงานร่วมกับสมาร์ทโฟนสำหรับโลกยุคออนไลน์ ยุคโซเชียลมีเดีย หรือจะเลือก ไดนามิค มิวสิค ที่เพลงจะเปลี่ยนจังหวะช้า-เร็ว ตามจังหวะการขับขี่ หรือการร่วมกับกล้องโกโปร ที่ถ่ายทอดสัญญาณภาพมาไว้บนจอแสดงผลในรถ

อ้อ... และสำหรับสวิทช์ปิด-เปิดกระจกรุ่นนี้ย้ายมาอยู่ที่แผงประตูแล้วนะครับ ไม่ได้ได้อยู่ที่คอนโซลกลางเหมือนรุ่นก่อนๆ ว่ากันว่าเป็นเพราะตามใจผู้บริโภคเช่นเคย

เครื่องยนต์มีการปรับเปลี่ยนเช่นกัน โดยคูเปอร์ และคูเปอร์ดี หันมาใช้เครื่องยนต์ใหม่ เล็กลง เป็นเครื่อง 3 สูบ 1.5 ลิตร ซึ่งเป็นเครื่องยนต์ที่บีเอ็มดับเบิลยูวางแผนไว้หลายปีก่อนหน้านี้ และในอนาคตจะได้เห็นมันแพร่หลายในรถยนต์หลายรุ่น และก่อนหน้านี้มันก็ถูกนำไปใช้กับรถใหม่ อย่าง ไอ 8 ที่เครื่องเบนซินตัวเล็กสามารถรีดแรงม้าได้ถึง 231 แรงม้าเลยทีเดียว

แต่สำหรับคูเปอร์แรงม้าคงไม่ต้องถึงระดับนั้น ตั้งไว้ที่ 136 แรงม้า ส่วนดีเซล 116 แรงม้า ขณะที่คูเปอร์ เอส ขยับไปใช้เครื่องใหญ่ขึ้น คือเบนซิน 2.0 ลิตร 192 แรงม้า

ปลายสัปดาห์ที่แล้วก็ถึงเวลาทดสอบสำหรับมินิ ซึ่งมีทั้งการขับขี่บนถนนหลวง และในสนามแข่ง แก่งกระจาน เซอร์กิต โดยผมได้ขับ 2 รุ่น คือ คูเปอร์ เอส กับ คูเปอร์ ดี

3 สูบ ดีเซล กำลังเหลือเฟือครับ และแรงบิด 270 นิวตันเมตร ช่วยให้อารมณ์กระชากกระชั้นมาแบบเต็มที่ เร่งแซงหายห่วง ช่วงล่างแม้จะดูปรับให้นุ่มนวลขึ้นบ้าง แต่อารมณ์กระด้างและความคมยังไม่หายไป จัดการกับโค้งต่างในช่วงหนองหญ้าปล้องเข้าไปแก่งกระจานได้สบายๆ

ส่วนคูเปอร์ เอส ความกลมกลืนมีมากกว่าคูเปอร์ ดี เรียกว่า เร็วแรง แบบสุภาพ ประเภทไต่ความเร็วขึ้นไป 170-180 แบบคนขับแทบไม่รู้ตัว ถ้าไม่เหลือบตามองเข็มวัดความเร็ว และยังบุคลิกคล่องแคล่วในเส้นทางเลียบชายทะเลจากชะอำมาคลองโคน

ส่วนที่สนามแก่งกระจาน เซอร์กิต ต้อนรับเราด้วยฝนห่าใหญ่ แต่ยังโชคดีว่าสักพักเพลาลง แต่ยังคงไม่หยุดเม็ด และทิ้งน้ำไว้บนแทรคอยู่ไม่น้อย แต่ไม่มีปัญหา มินิบอกว่ามาแล้ว ยังไงก็ต้องลองกัน เพียงแต่ว่าในช่วงโค้งลึกๆ ต้องระวังกับการเติมคันเร่ง การใช้เบรก หรือพวงมาลัยกันหน่อยก็แล้วกัน

การขับในสนามเช่นนี้ก็ช่วยให้รู้อะไรหลายอย่างครับ เช่น อัตราเร่ง ซึ่งเห็นได้ชัดว่าทั้งคูเปอร์ดี และคูเปอร์เอส ออกจากโค้งได้อย่างรวดเร็ว ขณะที่การทรงตัวบนพื้นผิวที่เปียก ทั้งช่วงทางตรง หรือทางโค้งก็จัดการได้ดี ไม่มีอาการร่อน ปัด ยกเว้นโค้งลึกอย่างที่บอกไปครับ เมื่อเข้าไปเร็วๆ รถมีอาการหน้าดื้อบ้าง บางครั้งก็ท้ายออกบ้าง หรือภาษาทางการเขาเรียกว่าอันเดอร์สเตียร์ และโอเวอร์สเตียร์นั่นแหละครับ

แต่ผมชอบอารมณ์ของมินิก็ตรงที่มันถ่ายทอดสภาพถนน ถ่ายทอดอาการของรถได้รวดเร็วและแม่นยำ หน้าดื้อก็รู้ ท้ายปัดก็บอก ดังนั้นคนขับจึงรู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป ก็แค่ถอนคันเร่งเล็กน้อย คืนพวงมาลัยช่วยอีกหน่อย มันก็กลับมาอยู่ในการควบคุม และพร้อมจะทะยานออกจากโค้งไปแบบไม่ทิ้งร่องรอยอะไรเอาไว้เลย