ทางรอด ของ ‘ร้านหนังสืออิสระ’ ในยุคดิจิทัล ที่มีแต่แพลตฟอร์มออนไลน์

ทางรอด ของ ‘ร้านหนังสืออิสระ’ ในยุคดิจิทัล ที่มีแต่แพลตฟอร์มออนไลน์

การรวมตัวกันพูดคุยหาทางออกให้กับ ‘ร้านหนังสืออิสระ’ และผู้คนในวงการหนังสือที่ได้รับผลกระทบจากโลกออนไลน์ อีกทั้งโอกาสของการมี 'สถาบันหนังสือ'

KEY

POINTS

  • ร้านหนังสืออิสระ เผชิญปัญหาการแข่งขันจากแพลตฟอร์มออนไลน์ ขาดทักษะการบริหารจัดการ และไม่มีหน่วยงานภาครัฐสนับสนุนอย่างจริงจัง
  • ทางรอดสำคัญคือการใช้พื้นที่ในร้าน (Offline) สร้างชุมชนนักอ่านที่แท้จริง (Authentic Community) จัดกิจกรรมและสร้างความสัมพันธ์ ซึ่งเป็นสิ่งที่คู่แข่งออนไลน์ทำไม่ได้
  • เสนอให้ร้านหนังสือรวมกลุ่มเพื่อสร้างอำนาจต่อรอง และร่วมกันผลักดันเชิงนโยบายให้เกิด สถาบันหนังสือ เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน

การเคลื่อนไหวทางการเมืองและสังคมในอดีตเกิดขึ้นจากห้องสมุดหรือมหาวิทยาลัย แต่ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ผู้คนเรียนรู้และเติบโตผ่านการรวมตัวกันสนทนาตามพื้นที่ต่าง ๆ

นี่คือระบบนิเวศที่จำเป็นต่อสังคมประชาธิปไตย ร้านหนังสืออิสระ ก็เป็นส่วนหนึ่งของ เมล็ดพันธุ์ประชาธิปไตย ซึ่งกำลังได้รับผลกระทบอย่างหนักจากเศรษฐกิจในสังคมปัจจุบัน

  • ปัญหาของคนทำ 'ร้านหนังสืออิสระ'

ในประเทศที่เจริญแล้วหลายแห่ง จะมี สถาบันหนังสือ ที่รัฐบาลตั้งขึ้นดูแลทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับ หนังสือ  

ร้านหนังสืออิสระ ไม่ได้เป็นเพียงกลุ่มธุรกิจ แต่มีสถานะทางวัฒนธรรมด้วย เพราะสร้างชุมชนนักอ่านและสร้างพื้นที่การอ่านให้เกิดขึ้น 

ทางรอด ของ ‘ร้านหนังสืออิสระ’ ในยุคดิจิทัล ที่มีแต่แพลตฟอร์มออนไลน์

Cr. Kanok Shokjaratkul

ประเทศไทยไม่มี สถาบันหนังสือ ทำให้ ร้านหนังสืออิสระ ที่มีปัญหาต้องรวมตัวกันพูดคุยเพื่อหาทางออกร่วมกัน

"ปัญหาที่ร้านหนังสืออิสระกำลังเผชิญปัญหาอยู่ มี 2 ประเด็น หนึ่ง.เรื่องระบบจัดการหลังบ้านและการบริหาร ส่วนใหญ่เจ้าของร้านมักจะมาจากสายวรรณกรรม เป็นนักเขียน นักแปล หรือบรรณาธิการ ขาดความรู้เรื่องระบบการจัดการ สอง.ระบบนิเวศโดยรวมที่อยู่ภายนอกไม่เกื้อหนุนใด ๆ ทั้งสิ้น"

เพชร ทิพย์สุวรรณ ผู้ร่วมก่อตั้ง HOC (House of Common – Book Café & Space) กล่าวในงาน เสวนา ร้านหนังสืออิสระยุคใหม่ ขับเคลื่อนอย่างไร ให้รอด และยั่งยืน ในงานมหกรรมหนังสือระดับชาติ ครั้งที่ 30 วันที่ 12 ตุลาคม 2568 ณ ห้อง 206 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

ทางรอด ของ ‘ร้านหนังสืออิสระ’ ในยุคดิจิทัล ที่มีแต่แพลตฟอร์มออนไลน์

Cr. Kanok Shokjaratkul

"ผู้เล่นในระบบนิเวศทางธุรกิจนี้ ได้แก่ สำนักพิมพ์ (ผู้ผลิต), สายส่ง (ผู้จัดส่งจัดจำหน่าย), นักเขียน, นักอ่าน, เพจรีวิวหนังสือ, และ แพลตฟอร์มออนไลน์ ต่าง ๆ

เราได้ทำหลักสูตรสอนการบริหาร Community Space เรื่องการคำนวณต้นทุนเพื่อให้รอด พบว่าปัญหาหลักคือ ผู้เข้าร่วมหลายคน ยังไม่ได้แยกกระเป๋าเงินส่วนตัวกับกระเป๋าเงินร้านออกจากกัน และไม่ได้คำนวณต้นทุนอย่างละเอียด เช่น ต้นทุนเครื่องดื่มที่ต้องลงลึกถึงปริมาณนมข้นกี่กรัมหรือโกโก้กี่บาทต่อแก้ว

ทางรอด ของ ‘ร้านหนังสืออิสระ’ ในยุคดิจิทัล ที่มีแต่แพลตฟอร์มออนไลน์

Cr. HOC (House of Common – Book Café & Space)

HOC เองพยายามทำร้านออนไลน์ของตัวเอง แต่เราสู้ไม่ได้ในแง่ของ GP (ที่เพิ่มขึ้นจาก 3% เป็น 17%) และผู้คนก็ติด User Interface ของแพลตฟอร์มอยู่ดี

เราพบว่ามีร้านหนังสือบางร้านที่ต้องอาศัยการสะสมโค้ดส่วนลดจากแพลตฟอร์ม เพื่อซื้อหนังสือมาขายที่ร้านตัวเอง

ร้านหนังสือเป็น Community Space อย่างร้านเรา HOC เปิดมา 13 ปีแล้ว พื้นที่ทางกายภาพมีความสำคัญต่อสุขภาพจิต (Mental Health) ที่ผู้คนมักแยกตัวโดดเดี่ยว"

ทางรอด ของ ‘ร้านหนังสืออิสระ’ ในยุคดิจิทัล ที่มีแต่แพลตฟอร์มออนไลน์

Cr. Kanok Shokjaratkul

  • จากโรงพิมพ์มาเป็นสายส่ง

ชัยฤทธิ์ อินทุวิสาลกุล ผู้บริหาร Ready Distribution สายส่งน้องใหม่ กล่าวว่า พื้นเพมาจากโรงพิมพ์

"เราเป็นโรงพิมพ์ภาพพิมพ์ ที่รับจ้างพิมพ์หมึกบนกระดาษ ทำให้ได้คุยกับสำนักพิมพ์จำนวนมาก เห็นความยากลำบากของวงการนี้ว่า สำนักพิมพ์มีความเสี่ยงในการลงทุน

การก้าวเข้ามาทำ สายส่ง ของเราเกิดจากความรู้สึกว่าเราต้องการ รวมหัวจมท้าย กับสำนักพิมพ์ เพื่อที่จะได้เข้าใจสถานการณ์ตลาดอย่างแท้จริง

การเป็น สายส่ง ทำให้เราเห็นว่า ร้านหนังสืออิสระ อยู่ในช่วงที่ต้องหานิยามใหม่ เพราะตอนนี้กำลังถูกเปลี่ยนจาก ร้านออนไลน์ ผมได้คุยกับร้านเชนขนาดใหญ่ พวกเขาก็อยู่ในสถานการณ์ที่ลำบากเช่นกัน

เพราะต้นทุนการเปิดร้านไม่ว่าร้านอิสระหรือร้านเชน ต่างก็ไม่มีใครมองเห็นภาพร้านหนังสือเหมือนร้านสะดวกซื้อที่ขายดีได้อีกต่อไปแล้ว"

ทางรอด ของ ‘ร้านหนังสืออิสระ’ ในยุคดิจิทัล ที่มีแต่แพลตฟอร์มออนไลน์

Cr. Kanok Shokjaratkul

  • OFF LINE สำคัญไม่น้อยกว่า ON LINE

ปราบ เลาหะโรจนพันธ์ ผู้อำนวยการโครงการ AGO TH,  Daybreaker Network  องค์กรไม่แสวงหากำไร ที่สนับสนุนการพัฒนาระบบนิเวศของขบวนการเคลื่อนไหว กล่าวว่า สังคมขาดการส่งต่อและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้

"ทำให้คนแต่ละรุ่นต้องเรียนรู้บทเรียนซ้ำ ๆ เราจึงพยายามสร้างพื้นที่ให้ภาคสังคมเติบโตและยืนระยะได้ โดยเน้นให้องค์กรต่าง ๆ ร่วมมือกันทำลายไซโลของตัวเอง

เรามีเครือข่ายสมาชิกถึง 1,650 คน และปีนี้ HOC ก็เป็นหนึ่งในพาร์ทเนอร์ที่มาถอดองค์ความรู้เรื่องการทำ Community Space ด้วย

ปัญหาที่ ร้านหนังสืออิสระ กำลังเผชิญ คือ การแข่งขันกับแพลตฟอร์ม ON LINE ซึ่งเป็นไปได้ยาก แต่สิ่งที่ร้านหนังสือมีคือ Community การสร้างพื้นที่สำหรับผู้ใช้ (user) จึงมีความสำคัญ

ทางรอด ของ ‘ร้านหนังสืออิสระ’ ในยุคดิจิทัล ที่มีแต่แพลตฟอร์มออนไลน์

Cr. Kanok Shokjaratkul

จริง ๆ แล้ว โซเชียลมีเดีย อาจไม่ใช่เครื่องมือหลักในการเปลี่ยนสังคมอีกต่อไป คนกำลังให้ความสำคัญกับเรื่อง พื้นที่ออฟไลน์ (Offline Space) อีกครั้ง

ร้านหนังสือที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานสามารถเป็นพื้นที่ให้ผู้คนได้มาพูดคุยและถกเถียงได้

การมีพื้นที่ออฟไลน์มีความสำคัญ 3 ประการ ต่อขบวนการเคลื่อนไหวและภาคสังคม

1. สานความสัมพันธ์ สร้างพันธะผูกพันที่เหนียวแน่นกว่าในออนไลน์

2. ถกเถียงและออกแบบงานร่วมกัน สร้างความไว้ใจและนำไปสู่การคิดทำอะไรร่วมกัน.

3. เยียวยาและเติมพลัง เป็นพื้นที่ให้ผู้คนได้ผ่อนคลายในวันที่เจอสิ่งท้าทาย

หนังสือ ยังคงเป็นสื่อกลางที่มีความพิเศษ เพราะเป็นแหล่งองค์ความรู้ที่เกิดจากการถอดบทเรียนทั้งชีวิตของนักเขียน และมีอายุการใช้งานในการสร้างคอมมูนิตี้ที่ยาวนานกว่าสื่ออื่น ๆ

ทางรอด ของ ‘ร้านหนังสืออิสระ’ ในยุคดิจิทัล ที่มีแต่แพลตฟอร์มออนไลน์

Cr. HOC (House of Common – Book Café & Space)

ดังนั้น ร้านหนังสืออิสระ จึงยังเป็นพื้นที่สำคัญของคนทำงานภาคประชาสังคมจนถึงวันนี้

การสร้าง Community จะทำให้เรามี 2 กลยุทธ์

1.รวมกลุ่มเพื่อต่อรอง (Collective Action) หากผู้แข่งขันรายใหญ่อย่างแพลตฟอร์มสามารถรวมกลุ่มกันเพื่อล็อบบี้และปกป้องผลประโยชน์ในอุตสาหกรรมของตนได้ ร้านหนังสืออิสระ ก็ควรจะรวมกลุ่มกันเพื่อสร้างกลไกต่อรองบางอย่าง เช่น การแชร์ข้อมูลซึ่งกันและกัน

2.สร้างชุมชนที่แท้จริง (Authentic Community) นี่คือจุดแข็งที่คู่แข่งทำไม่ได้ แพลตฟอร์มใหญ่ถูกขับเคลื่อนด้วยผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้น (Shareholder) ที่สนใจเพียงผลกำไรสูงสุด ซึ่งนำไปสู่การลดคุณภาพ (Enshittification)

เช่นเดียวกับที่เราเห็นใน Amazon หรือ Social Media ที่เต็มไปด้วย AI Content แต่ร้านหนังสืออิสระสามารถสร้างชุมชนที่มี จิตวิญญาณร่วมกัน (Shared activism) และให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ที่ยั่งยืน"

ทางรอด ของ ‘ร้านหนังสืออิสระ’ ในยุคดิจิทัล ที่มีแต่แพลตฟอร์มออนไลน์

Cr. Kanok Shokjaratkul

  • ร้านหนังสือออนไลน์ มีมากขึ้น ?

ธีรภัทร เจริญสุข เลขาธิการสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย (PUBAT) ผู้จัดงานหนังสือแห่งชาติ ทั้งงานสัปดาห์ฯและงานมหกรรมฯ รวมถึงงานหนังสือในภูมิภาคต่าง ๆ และประธานอนุกรรมการซอฟต์พาวเวอร์ สาขาหนังสือ ผู้จัดงานพูดคุยเชิงวิชาการครั้งนี้กล่าวว่า

"ข้อมูล (Market Overview) ที่สมาคมฯทำวิจัยมา ใน ธุรกิจหนังสือ ส่วนที่เติบโตคือ Production (สำนักพิมพ์) มี Market GR อยู่ที่ 4.15%

แต่ส่วนของ Distribution (ร้านหนังสือและขนส่ง) แม้จะเป็นส่วนใหญ่ของตลาด (13,000 ล้านบาท) แต่มี Market GR เพียง 0.39% ถ้าหักเงินเฟ้อก็คือติดลบ

ทางรอด ของ ‘ร้านหนังสืออิสระ’ ในยุคดิจิทัล ที่มีแต่แพลตฟอร์มออนไลน์

ชัดเจนว่า ร้านหนังสือขนาดเล็กมีตัวเลขลดลง แต่ร้านขนาดใหญ่กลับเพิ่มขึ้น ที่น่าตกใจคือ

ร้านหนังสือออนไลน์ เติบโตขึ้น 28.9% ของตลาดสมาชิกสมาคมฯ ขณะที่ ร้านหนังสือแบบดั้งเดิม (Traditional) เหลือเพียง 16% นี่คือตัวแปรหลักที่ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลง

สมาคมฯ เองเคยพยายามทำแพลตฟอร์ม thabfare.com แต่สุดท้ายก็ยอมแพ้ เพราะต้องจ่ายค่าแอด ค่าคูปอง และค่าบำรุงรักษาปีละ 3-4 แสนบาท โดยที่เราไม่ได้เก็บ GP ทำให้สมาคมฯ ต้องแบกรับภาระ ดังนั้นการแข่งขันเรื่องราคาหรือแพลตฟอร์ม เราสู้ไม่ได้แน่นอน"

ทางรอด ของ ‘ร้านหนังสืออิสระ’ ในยุคดิจิทัล ที่มีแต่แพลตฟอร์มออนไลน์

Cr. Kanok Shokjaratkul

  • ทางรอดคือการสร้าง Community

เลขาธิการสมาคมผู้จัดพิมพ์ฯ กล่าวว่า งานหนังสือ คือการสร้าง Community ให้คนมาใช้เวลาร่วมกัน มาเจอเพื่อนฝูง นักเขียน แม้ว่าบางคนจะมาเดินดูสินค้าแล้วกดสั่งซื้อออนไลน์ ตรงหน้าบูธก็ตาม

"ข้อเสนอแนะในเชิงนโยบายและในเชิงธุรกิจต่อ Stakeholder (ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในวงการหนังสือ) มีดังนี้

1. การรวมตัวและสนทนา เราควรมานั่งคุยกันเยอะขึ้นว่าจะทำอะไรต่อ แทนที่จะโพสต์ด่ากันในโซเชียลมีเดีย ภาครัฐพร้อมสนับสนุน หากเรามีการรวมตัวกันและเสนอแนวทางที่ชัดเจน

2. ข้อมูลเชิงลึก สมาคมฯ กำลังทำ Deep Research เก็บข้อมูลร้านหนังสืออิสระทั่วประเทศ เพื่อหาตัวเลขที่แท้จริง (Actual Number) และดูว่าพวกเขา Operate อย่างไร

3. การเป็นสมาชิกสมาคมฯ ร้านหนังสืออิสระ ควรสมัครเป็นสมาชิกสมาคมผู้จัดพิมพ์ฯ เพื่อรับข้อมูล Inside Market Research (Data Analysis) ที่เราทำทุกปี

ทางรอด ของ ‘ร้านหนังสืออิสระ’ ในยุคดิจิทัล ที่มีแต่แพลตฟอร์มออนไลน์

Cr. Kanok Shokjaratkul

และสามารถเข้าร่วมกิจกรรมการอบรมต่าง ๆ เราพร้อมพิจารณายกเว้นค่าธรรมเนียมสมัครสมาชิก หากรวมตัวกันมา

นอกจากนี้ สมาคมฯ ยังช่วยกระจายความช่วยเหลือโดยใช้ร้านอิสระในต่างจังหวัดรับหนังสือจากสำนักพิมพ์ในกรุงเทพฯ ไปขายในงานหนังสือภูมิภาค (เช่น ที่หาดใหญ่) เพื่อให้ได้ประโยชน์ร่วมกัน"

ทางรอด ของ ‘ร้านหนังสืออิสระ’ ในยุคดิจิทัล ที่มีแต่แพลตฟอร์มออนไลน์

Cr. Kanok Shokjaratkul

  • สถาบันหนังสือ ทำไมถึงเกิดขึ้นยาก ?

เป็นคำถามที่หลายคนสงสัยและต้องการคำตอบ ประธานอนุกรรมการซอฟต์พาวเวอร์ สาขาหนังสือ กล่าวว่า แนวคิดเรื่อง สถาบันหนังสือ มีมานานแล้ว

"คุณจรัญ หอมเทียนทอง (อดีตนายกสมาคมผู้จัดพิมพ์ฯ) ก็เคยพยายามจะตั้ง สถาบันหนังสือ ขึ้นมา และทาง THACCA ก็เคยพูดถึงเรื่องนี้เช่นกัน

ที่ผ่านมา มีการเสนอ แต่ THACCA  เอาธุรกิจสร้างสรรค์ทุกอย่างมาไว้รวมกัน ก็ไปดึงทั้งอำนาจและเงินของแต่ละหน่วยราชการเข้ามาหมด ทำให้ยาก

และเราขาด นิติกร จะทำอย่างไรให้มันเกิดขึ้นในทางกฎหมาย

ทางรอด ของ ‘ร้านหนังสืออิสระ’ ในยุคดิจิทัล ที่มีแต่แพลตฟอร์มออนไลน์

Cr. Kanok Shokjaratkul

แนวทางที่เป็นไปได้ อาจใช้คำสั่งฝ่ายบริหาร ตั้งเป็นพระราชกฤษฎีกาเพื่อให้เกิด สถาบันหนังสือ ขึ้นมา เหมือน CEA ซึ่งไม่ได้เป็น พรบ. สามารถตั้งเป็นองค์กรมหาชน ใช้อำนาจนายกฯ เซ็นได้เลย

อย่างไรก็ตาม การจัดตั้งต้องมีรัฐบาลที่เห็นด้วย มีคณะกรรมการกฤษฎีกาเห็นชอบ และต้องผ่านสำนักงบประมาณ ซึ่งเป็นเรื่องยาก แต่ผมเชื่อว่า เป็นไปได้ เพียงแต่เราต้องการนิติกรที่จะเขียนกฎหมายให้มันผ่านไปได้

ที่สำคัญ เมื่อถูกถามว่า เงินจะมาจากไหน จะไปสังกัดอะไร หรือใครจะเป็นประธาน เราไม่มีคำตอบให้เขา ก็เลยทำไม่ได้

ทางรอด ของ ‘ร้านหนังสืออิสระ’ ในยุคดิจิทัล ที่มีแต่แพลตฟอร์มออนไลน์

Cr. Kanok Shokjaratkul

ในส่วนของ นักอ่าน สามารถช่วยกันส่งเสียงได้

1. ส่งเสียงในโซเชียลมีเดีย หรือส่งจดหมาย/โทรศัพท์ไปยังองค์กรภาคเอกชนขนาดใหญ่ หรือองค์กรภาครัฐ เมื่อรวมตัวเป็นกลุ่มที่มากพอจะสร้างความเปลี่ยนแปลงได้ โดยเฉพาะองค์กรสาธารณะที่ต้องรักษาภาพลักษณ์  

2. ดูนโยบายของนักการเมือง ที่นำเสนอเรื่องนี้ แล้วไปนำเสนอในกลุ่มการเมืองที่เขาสนใจ ในฐานะประชาชนหรือผู้แทนของกลุ่มผลประโยชน์ เราสามารถต่อรองกับทุกพรรคได้

นับตั้งแต่มีการพูดถึง ซอฟต์พาวเวอร์ (Soft Power) ทำให้สังคมมีความกระตือรือร้นที่จะพูดถึงเรื่องนี้มากขึ้น ซึ่งทำให้พรรคการเมืองและผู้มีอำนาจเริ่มสนใจเรื่องนี้อย่างจริงจัง"

ทางรอด ของ ‘ร้านหนังสืออิสระ’ ในยุคดิจิทัล ที่มีแต่แพลตฟอร์มออนไลน์

Cr. Kanok Shokjaratkul