เจาะลึกผลรางวัลเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติ Berlin Film Festival 2024

เจาะลึกผลรางวัลเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติ Berlin Film Festival 2024

Dahomey ผลงานผู้กำกับหญิงฝรั่งเศส-เซเนกัล Mati Diop ชนะรางวัลหมีทองคำจาก Berlin Film Festival 2024 พร้อมเจาะลึกผลรางวัลต่าง ๆ จาก 'กัลปพฤกษ์' คอลัมนิสต์สายเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติ

จัดงานกันไปเสร็จสิ้นแล้ว กับเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมืองเบอร์ลิน ครั้งที่ 74 ประจำปี 2024 ระหว่างวันที่ 15-25 กุมภาพันธ์ โดยหลังจากจัดฉายหนังสายประกวดหลักครบถ้วนทั้ง 20 เรื่องจากทั่วทุกมุมโลก คณะกรรมการตัดสินก็ได้ประกาศผลรางวัลกันในค่ำคืนของวันเสาร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ 2567 ณ โรงมหรสพ Berlinale Palast สถานที่จัดงานหลัก ซึ่งผลรางวัลในปีนี้ก็เรียกได้ว่าเข้มข้นโดนใจนักวิจารณ์สายเก็งทั้งหลายอยู่หลายรางวัล จะมีที่เซอร์ไพรส์ให้ได้ประหลาดใจกันบ้างโดยเฉพาะในรางวัลใหญ่ให้พอได้มีสีสัน ซึ่งทุกเรื่องก็ล้วนมีเหตุผลอันควรค่าแก่การได้รับรางวัลอยู่

เจาะลึกผลรางวัลเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติ Berlin Film Festival 2024 Credit : John MACDOUGALL / AFP

 

คณะกรรมการตัดสินรางวัลหมีทองคำและรางวัลอื่น ๆ ในสายประกวดหลักประจำปีนี้ ได้แก่ Brady Corbet ผู้กำกับและนักแสดงชายชาวอเมริกัน Ann Hui ผู้กำกับหญิงจากฮ่องกง Christian Petzold ผู้กำกับหนุ่มเยอรมันเจ้าประจำการประกวดที่เทศกาลเบอร์ลิน Albert Serra ผู้กำกับหนุ่มสุดเซอร์ฯ จากสเปน Jasmine Trinca ผู้กำกับและนักแสดงหญิงจากอิตาลี Oksana Zabuzhko นักเขียนหญิงจากยูเครน โดยมี Lupita Nyong’o นักแสดงหญิงจากเคนยา/เม็กซิโก ทำหน้าที่เป็นประธานคณะกรรมการตัดสิน

เริ่มที่รางวัลแรก เป็นรางวัลสำหรับงานด้านเทคนิคยอดเยี่ยม ซึ่งภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัลไปได้แก่ The Devil’s Bath งานสยองขวัญอิงประวัติศาสตร์ จากประเทศออสเตรีย ผลงานการกำกับของ Veronika Franz กับ Severin Fiala โดยได้รับรางวัลในส่วนของการถ่ายภาพยอดเยี่ยม ฝีมือของตากล้องหนุ่ม Martin Gschlacht

 

เจาะลึกผลรางวัลเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติ Berlin Film Festival 2024

 

หนังเรื่อง The Devil’s Bath เล่าเรื่องราวที่อ้างจากตำนานจริงของหญิงที่ประกอบอาชญากรรมรุนแรงต่อเด็กและเยาวชน เพียงเพราะความเชื่อที่จะหลุดพ้นจากความผิดบาป ในดินแดนออสเตรียตอนเหนือช่วงปี ค.ศ. 1750 เนื่องจากในสมัยนั้นการฆ่าตัวตายถือเป็นบาปอันมหันต์ ใครที่ชีวิตถึงทางตันด้วยอาการวิตกซึมเศร้าและไม่ต้องการอับเฉาอยู่บนโลกใบนี้ต่อไป ทางเดียวที่จะหนีพ้นได้ คือก่ออาชญากรรมร้ายแรงต่อผู้ที่ป้องกันตัวเองไม่ได้ แล้วไปสารภาพบาปกับหลวงพ่อซะ พวกเขาก็จะสามารถสละชีวิตหนีจากโลกใบนี้ไปได้ โดยไม่มีมลทินให้ต้องผินลงนรกอีกต่อไป! ซึ่งก็เป็นวิธีการที่ตัวละครหลัก Agnes สตรีที่เพิ่งแต่งงานอยู่กินกับสามีกับแม่ยาย แต่กลับไม่พบความสุขในชีวิตเลย ใช้ในเรื่องนี้

 

 

หนังแสดงภาพธรรมชาติที่เคยอุดมสมบูรณ์ด้วยแมกไม้ ในบรรยากาศที่ทั้งงดงามและน่าเกรงขามของโลกธรรมชาติอันอุดมไปด้วยความดิบเถื่อนในเวลาเดียวกัน จำลองภาพฝันร้ายภายใต้ความงมงายในคริสต์ศาสนาของผู้คนในยุคสมัยนั้นได้อย่างชวนให้สะเทือนขวัญ ผ่านการแสดงอันเข้มข้นของ Anja Plaschg นักดนตรีทดลองหญิงที่เป็นรู้จักกันในนาม Soap&Skin ในบทนำ

 

รางวัลต่อมาเป็นรางวัลทางการแสดง ซึ่งเทศกาลเบอร์ลินเป็นเทศกาลใหญ่แห่งแรก ๆ ที่ปรับเปลี่ยนจากการแบ่งประเภทรางวัลโดยเพศสภาพของผู้แสดง เช่น นักแสดงชาย หรือ นักแสดงหญิง มาเป็น การแสดงในบทนำ และการแสดงในบทสมทบ แทน หลังจากพบกรณีนักแสดงข้ามเพศมีโอกาสได้เข้าชิงรางวัลมากขึ้น ๆ

 

สำหรับรางวัลสำหรับการแสดงในบทนำประจำปีนี้ ก็ได้แก่การแสดงของนักแสดงหนุ่ม Sebastian Stan จากเรื่อง A Different Man กำกับโดย Aaron Schimberg โดยเขารับบทบาทเป็น Edward นักแสดงหนุ่มซึ่งในช่วงแรกจะปรากฏตัวในรูปลักษณ์ที่ใบหน้าบูดเบี้ยวผิดรูปด้วยโรคผิวหนังเรื้อรัง กระทั่งได้รับเฉพาะบทบาทของคนที่มีลักษณะทางกายภาพแตกต่าง ทำให้เขาต้องหาทางรักษาเยียวยาจนสุดท้ายก็ได้รับใบหน้าใหม่ใกล้เคียงผู้ชายทั่วไป ก่อนจะได้ตระหนักว่าใบหน้าใหม่ที่ดูดีนี้อาจมิได้มีความเป็นตัวเขาจริง ๆ ตามที่เคยอยากเป็น เมื่อได้เห็นเพื่อนบ้านสาวสวยมีรสนิยมที่ไปด้วยกันกับสุภาพบุรุษผู้มีหน้าตาเหมือนเขาในอดีต!

 

เจาะลึกผลรางวัลเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติ Berlin Film Festival 2024

 

หนังเรื่องนี้ขีดเส้นศีลธรรมด้านการยอมรับในความงามอันแตกต่างหลากหลายว่า ไม่ควรมีใบหน้าแบบไหน ‘สวย’ หรือ ‘หล่อ’ กว่าใบหน้าแบบใดในยุคปัจจุบันได้อย่างแสนอ่อนไหว

 

โดยเฉพาะเมื่อหนังได้นำเสนอตัวละครรายใหม่คือ Oswald ซึ่งได้นักแสดงที่มีใบหน้าต่างจากรูปทรงธรรมดาอย่าง Adam Pearson มารับบทบาทในหนังช่วงครึ่งหลัง สร้างพลังความกระอักกระอ่วนใจเมื่อ Oswald เป็นชายที่ ‘เหนือ’ กว่าเขาในทุกอย่าง สร้างปมด้อยให้ Edward ได้ตระหนักรู้ว่า คุณค่าที่แท้ของเขาก็อยู่ที่ใบหน้าเก่าที่เขาได้ทำลายด้วยน้ำมือตัวเองไปแล้ว ซึ่ง Sebastian Stan ก็ถ่ายทอดความพลวัตของบทบาทตัวละคร Edward ออกมาได้อย่างละเอียดและมีพลังมากจริง ๆ

 

 

ส่วนรางวัลการแสดงในบทสมทบยอดเยี่ยมปีนี้ก็ได้นักแสดงหญิงที่อยู่ในวงการมายาวนานอย่าง Emily Watson กับบทแม่ชี Mary ในหนังจากไอร์แลนด์เรื่อง Small Things Like These กำกับโดย Tim Mielants ประกบกับ Cillian Murphy ซึ่งหนังดัดแปลงมาจากนวนิยายเข้าชิงรางวัล Booker Prize ชื่อเดียวกัน (2021) ของ Claire Keegan

 

เจาะลึกผลรางวัลเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติ Berlin Film Festival 2024

 

เล่าเรื่องราวย้อนไปในปี 1985 ณ เขตปกครองเว็กซ์ฟอร์ด ของไอร์แลนด์ โดย Cillian Murphy รับบทเป็น Bill Furlong พ่อค้าถ่านหินที่ต้องดูแลครอบครัวอันประกอบไปด้วยภรรยาและบุตรธิดาอีก 5 คน เขามีหน้าที่ขนถ่านหินไปให้บริการ ณ ที่ต่าง ๆ รวมถึงโบสถ์คาทอลิกแห่งสำคัญประจำเมือง ทำให้เขาได้ไปพบกับเรื่องลับอันน่าตกใจภายในโบสถ์แห่งนี้ เมื่อแม่ชีอาวุโสอย่าง Sister Mary ซึ่งเล่นโดย Emily Watson จะใช้อำนาจอันเบ็ดเสร็จทางศาสนาลงโทษสตรีที่มีพฤติกรรมนอกรีตผิดจรรยาด้วยการจับขังอย่างอำมหิต กลายเป็นแบบทดสอบจิตใจต่อ Bill Furlong ว่าเขาควรจะช่วยเหลือหญิงสาวเหล่านี้ให้รอดพ้นจากเงื้อมมือของ Mary หรือไม่และอย่างไร

 

 

สำหรับรางวัลนี้คณะกรรมการอาจจะตัดสินกันได้ยากหน่อย เพราะจากหนังประกวดทั้ง 18 เรื่องที่ไม่ใช่งานสารคดี ก็ล้วนมีบทสมทบที่แตกต่างหลากหลายได้อย่างน่าสนใจ ซึ่งก็ปฏิเสธไม่ได้เหมือนกันว่า Emily Watson ก็ทำให้ทุกคนจดจำเธอได้ แม้ว่าโดยสัดส่วน screen time แล้ว เธอจะปรากฏตัวบนผืนจอน้อยขนาดไหน ทว่าสุดท้ายก็คว้ารางวัลนี้ไปครองได้จากการตัดสินของคณะกรรมการชุดนี้

 

มาที่รางวัลบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ก็ได้แก่บทภาพยนตร์เรื่อง Dying ซึ่งเขียนบทและกำกับโดย Matthias Glasner ชาวเยอรมัน Dying เป็นหนังมหากาพย์ภาพชีวิตอันอาภัพและย่อยยับของตัวละครร่วมสมัย ณ เมืองใหญ่ในเยอรมนีด้วยความยาว 180 นาที

 

เจาะลึกผลรางวัลเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติ Berlin Film Festival 2024

มีตัวละครหลักคือสมาชิกในครอบครัว Lunies ที่พ่อแม่วัยชราต่างมีปัญหาสุขภาพทั้งโรคความจำเสื่อม เบาหวาน ไต มะเร็ง และการมองเห็น ในขณะที่ Tom ผู้เป็นบุตรชายก็ได้ทำงานเป็นวาทยกรให้วง orchestra และกำลังจะ premiere บทประพันธ์ใหม่ชื่อ ‘Dying’ ของสหายนักประพันธ์ผู้เบื่อโลกนาม Bernard ที่กำลังต้องการจะจบชีวิตตัวเองลงจริง ๆ พร้อม ๆ กับที่หญิงคนรักเก่าของเขาก็อยากให้ Tom กลับมาเป็นพ่อบุญธรรมของบุตร

 

ส่วน Ellen น้องสาวสุดที่รัก ก็ดันปักใจขอยอมเป็นเมียน้อยทันตแพทย์หนุ่มที่เธอหลงใหล ครอบครัวใหญ่เรือนนี้จึงมีแต่เรื่องวุ่นวายร้อยแปดพันประการ ชวนให้รู้สึกสงสารว่าชะตากรรมของตัวละครทั้งหมดในเรื่อง มันช่างเหมือนละคร sit-com ที่ทุกคนเจอแต่ความซวยอย่างต่อเนื่อง เหมือนถูกกลั่นแกล้งกันจากเบื้องบนเช่นนี้!

 

ผู้กำกับอีกคนที่สร้างปรากฏการณ์ในปีนี้ ก็คือ Nelson Carlo de Los Santos Arias จาก สาธารณรัฐโดมินิกัน ที่มีผลงานใหม่เรื่อง Pepe เข้าร่วมประกวดในเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมืองเบอร์ลิน เป็นครั้งแรกของประเทศนี้ในปีนี้ ซึ่งในที่สุดเขาก็สามารถคว้ารางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมไปครองได้อย่างไร้ข้อกังขา

 

เจาะลึกผลรางวัลเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติ Berlin Film Festival 2024

 

Pepe เป็นหนังที่มาในลีลาลูกผสมของงานสารคดีและหนังเล่าเรื่อง ที่อาจจะมองเป็นทั้ง Docufiction และ Docudrama ได้ในเวลาเดียวกัน ทลายเส้นแบ่งกั้นระหว่างงานเล่าเรื่องและสารคดี หรือหนังที่มีรูปแบบคล้ายความเรียง ซึ่งปัจจุบันก็เทียบเคียงจำแนกได้ยากขึ้นทุกวัน ๆ

 

เนื้อหาของ Pepe เป็นการย้อนเล่าถึงฮิปโปโปเตมัสนาม Pepe ซึ่งเป็นทายาทของคู่ฮิปโปโปเตมัสซึ่ง Pablo Escobar นักค้ายาชื่อดังในอดีตแห่งโคลอมเบีย เคยลักลอบนำเข้าประเทศมาจาก นามิเบีย ทวีปแอฟริกา Pepe จึงมีสัญชาติเป็นละตินอเมริกา ในขณะที่มาตุภูมิดั้งเดิมของมันมาจากดินแดนกาฬทวีป

 

สิ่งที่บีบหัวใจคือ Pepe กลายเป็นฮิปโปตัวแรกในทวีปอเมริกาที่ถูกฆ่าตาย และตลอดทั้งเรื่องเราจะได้ยินเสียงของ Pepe หลังจากที่มันได้ชีวาวาย เล่าผ่านเสียงพูดทุ้มต่ำหลากหลายภาษา เล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ก่อนและตลอดชั่วอายุขัยของสัตว์ใกล้สูญพันธุ์สปีชีนี้

 

 

หนังมีลีลาเชิงทดลองที่จัดว่าแปลกพิสดารมากมาย มีการใช้สัดส่วนภาพที่หลากหลาย อาศัยทั้งภาพ footage และส่วนที่ถ่ายทำผ่านการแสดงใหม่สลับกันไปจนดูวุ่นวาย และที่แสบร้ายคือมีการใส่ฉากที่เหมือนจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องราวโดยตรง

 

ไม่ว่าจะเป็นการลงพื้นที่ท่องเที่ยวป่าซาฟารีในนามิเบีย หรืออยู่ดี ๆ ก็ยอมเสียเวลาไปกับฉากการประกวดสาวงามกลางดงป่า ชนให้ได้คิดไขปริศนาว่ามีนัยยะใด ๆ ข้องเกี่ยวกับเรื่องราวของครอบครัวเจ้า Pepe หรือไม่ ซึ่งก็เป็นการหลงป่าออกนอกทางอันน่าพิสมัย ทำให้หนังไม่มีจุดใดที่จะสามารถคาดเดาได้จนกลายเป็นความน่าเบื่อเลย สมแล้วที่หนังจะได้รับรางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมไป กับหนังที่ไม่สามารถนิยามหรืออธิบายอะไรกันได้เรื่องนี้!

 

เจาะลึกผลรางวัลเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติ Berlin Film Festival 2024

 

 

ปิดท้ายกันที่รางวัลสำหรับหนังทั้งเรื่อง ซึ่งก็มีอยู่ด้วยกันสามลำดับด้วยกันคือ รางวัลรองชนะเลิศอันดับสอง ได้แก่ รางวัลหมีเงินขวัญใจคณะกรรมการ หรือ Jury Prize ได้แก่หนังตลกรั่วจากฝรั่งเศสเรื่อง The Empire ของผู้กำกับ Bruno Dumont ซึ่งใครที่คุ้นเคยกับผลงานสุดเคร่งเครียดและหม่นมืดในอดีตของเขามา ก็อาจจะตกอกตกใจกับการเป็นงานแนวตลกใส ๆ ไร้สติในหนังเรื่องนี้

 

The Empire เล่าเรื่องราวแฟนตาซีที่เกิดขึ้นในเมืองชาวประมงเล็ก ๆ ทางตอนเหนือของฝรั่งเศส เมื่อทารกผู้มีพลังวิเศษได้ถือกำเนิดขึ้น ณ ชุมชนชายทะเลเล็ก ๆ แห่งนี้ เป็นต้นชวนที่ก่อให้เกิดมหาสงครามระหว่างเหล่ากองทัพต่างดาว พร้อมยานอวกาศที่เหินหาวกันอย่างวินาศสันตะโร

 

 

ผู้กำกับ Bruno Dumont เหมือนจะพยายามกัดแซะหนัง Sci-Fi ทุนสูงจากฮอลลีวู้ดที่มีโปรดักชันใหญ่โต แต่เนื้อหากลับกลวงโบ๋ เหมือนอย่างใน The Empire ที่แทบจะจับสาระใจความใด ๆ ไม่ได้ นอกเหนือไปจากความตลกเหวอเพี้ยนที่ขำบ้างไม่ขำบ้างตามประสา นักวิจารณ์นานาชาติในรอบสื่อจึงไม่ใคร่จะหือจะอือหรือหัวเราะครื้นเครงตามไปด้วยสักเท่าไหร่ แต่สุดท้ายหนังก็ชนะใจคณะกรรมการจนคว้ารางวัล Jury Prize ไปได้ในที่สุด

 

ส่วนรางวัลรองชนะเลิศ หรือ รางวัลหมีเงิน Grand Jury Prize ดูจะเป็นที่ถูกอกถูกใจของเหล่านักวิจารณ์กันมากกว่า นั่นคือ A Traveler’s Needs งานตลกชวนฮาจากเกาหลีใต้ของผู้กำกับ Hong Sang-soo ผู้มีผลงานเข้าประกวดที่เทศกาลเบอร์ลินต่อเนื่องกันแบบรัว ๆ เป็นปีที่ห้าแล้ว

 

เจาะลึกผลรางวัลเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติ Berlin Film Festival 2024

 

A Traveler’s Needs ได้นักแสดงหญิงชาวฝรั่งเศสระดับตำนาน Isabelle Huppert มาร่วมงานด้วยอีกครั้ง หลังจากที่เธอเคยได้ร่วมนำแสดงในหนังของผู้กำกับ Hong Sang-soo มาก่อนแล้วในเรื่อง Claire’s Camera (2017)

 

กลับมาคราวนี้ Isabelle Huppert รับบทบาทเป็น Iris นักท่องเที่ยวหญิงถังแตกจากฝรั่งเศสในเกาหลีใต้ ที่ได้รับคำแนะนำให้ลองหารายได้พิเศษจากการสอนภาษาฝรั่งเศสแก่คนที่สนใจ แต่ด้วยความที่ Iris ไม่เคยร่ำเรียนหรือมีประสบการณ์ด้านการสอนภาษามาก่อน วิธีการสอนของเธอจึงออกจะพิสดาร เพราะเธอจะใช้เวลาในการสัมภาษณ์ลูกศิษย์ด้วยภาษาอังกฤษอย่างยาวนาน เพื่อควานหาอารมณ์ความรู้สึกที่ลูกศิษย์ประทับใจ จากนั้นจึงแต่งประโยคให้เป็นภาษาฝรั่งเศส อัดลงเทปคาสเซ็ตต์ ให้พวกเขาพูดตาม เพราะความรู้สึกดื่มด่ำในทุก ๆ คำทุก ๆ ประโยคนี่แหละ ที่จะทำให้พวกเขาเรียนรู้ภาษาใหม่นี้ได้อย่างดี!

 

 

หนังดำเนินเรื่องด้วยท่วงทำนองแสนสุนทรีย์ สลับฉากการสัมภาษณ์เพื่อเรียนภาษากับการใช้เวลาบรรเลงดนตรี และที่ขาดไม่ได้คือการได้ลิ้มรสสุราท้องถิ่นนาม makgeolli ซึ่งทุกจิบมันช่างมีรสชาติกำซาบซ่าน จนเหมือนชีวิตไม่ได้ต้องการความสุขอื่นใดมากไปกว่านี้อีกแล้ว

 

A Traveler’s Needs จึงเป็นหนังเล็ก ๆ ง่าย ๆ สะท้อนให้เห็นมุมงามของชีวิตอย่างแยบคาย จนแทบจะไม่มีอะไรเป็น conflict ขัดแย้งให้ต้องแสลงเสียอารมณ์กันเลย!

 

เจาะลึกผลรางวัลเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติ Berlin Film Festival 2024

 

มาถึงรางวัลใหญ่อย่างรางวัลหมีทองคำประจำเทศกาลเบอร์ลินในปีนี้ ที่ต้องเรียกได้ว่าเป็นม้ามืดที่พลิกโผอยู่พอสมควร เพราะหนังที่ได้รับรางวัลคือ Dahomey ของผู้กำกับหญิงฝรั่งเศส-เซเนกัล Mati Diop ซึ่งไม่ใช่หนังเล่าเรื่องแต่เป็นงานสารคดี สิริความยาวรวมเพียง 67 นาที นับเป็นงานที่เล็กและสั้นที่สุดในสายประกวดประจำปีนี้ แต่หนังก็มีประเด็นที่หนักแน่นกระทบใจจนสามารถคว้ารางวัลใหญ่ไปได้

 

เจาะลึกผลรางวัลเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติ Berlin Film Festival 2024

 

Dahomey เป็นชื่ออาณาจักรโบราณทางตะวันตกของทวีปแอฟริกา ณ ดินแดนประเทศเบนินปัจจุบัน และเหตุผลสำคัญที่ผู้กำกับ Mati Diop นำมาใช้เป็นชื่อหนังก็คือ สารคดีเรื่องนี้เล่าถึงกรณีการทวงคืนสมบัติทางประวัติศาสตร์จากดินแดน Dahomey ที่ทางการฝรั่งเศสเคยโจมตีและยึดไปเมื่อปี 1890 จำนวนกว่า 7,000 รายการ และในสมัยปัจจุบันได้นำไปจัดแสดง ณ พิพิธภัณฑ์ บรองลี ที่กรุงปารีส

 

โดยประธานาธิบดีมาครง ได้สัญญาว่าจะคืนสมบัติจำนวน 26 ชิ้นจากอดีตให้แก่ประเทศเบนินในปัจจุบัน และเพิ่งจะมีการส่งมอบกันเมื่อปี 2020 ซึ่งผู้กำกับ Mati Diop ก็ได้ติดตามการขนย้ายผลงานประวัติศาสตร์เหล่านี้คืนถิ่น โดยใช้เสียงเล่าผ่านวิญญาณที่สิงอยู่ในวัตถุเคารพเหล่านี้ ด้วยวิธีการของงานสารคดีสร้างสรรค์ ก่อนจะหันไปรับฟังการถกเถียงอภิปรายถึงความเหมาะสมในการลักขโมยสมบัติประจำชาติเหล่านี้ไปในสมัยการล่าอาณานิคมของเหล่านักศึกษาในมหาวิทยาลัยอโบเมคาวาลี เพื่อตีแผ่ประเด็นการทวงคืนมรดกทางวัฒนธรรมที่ควรจะนำกลับมาเป็นสินทรัพย์ของเหล่าทายาทตัวจริง!

 

เจาะลึกผลรางวัลเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติ Berlin Film Festival 2024

 

หนังเล่าถึงสิ่งที่เป็นกระทู้ถกเถียงในสังคมยุคปัจจุบันหลังห้วงคืนวันแห่งการล่าอาณานิคม เมื่อโลกกลม ๆ ได้ก้าวเข้าสู่ห้วงกาลแห่งความโลกาภิวัตน์ เป็นสารคดีอิงประวัติศาสตร์ที่น่าจะกระทบในคณะกรรมการผู้มีเชื้อชาติ-สัญชาติข้ามดินแดนกันอย่างหลากหลาย ทลายเส้นแบ่งแห่งรัฐชาติไปชวนให้รู้สึกว่าเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติแห่งนี้ มันช่างมีสปิริตแห่งความเป็นสากลอย่างแท้จริง!