เปิดใจ'ต้องเต'เรื่องเล่าและแรงบันดาลใจ(แบบสั้นๆ)ก่อนทำหนัง 'สัปเหร่อ'

เปิดใจ'ต้องเต'เรื่องเล่าและแรงบันดาลใจ(แบบสั้นๆ)ก่อนทำหนัง 'สัปเหร่อ'

บทสนทนาสั้นๆ แต่จริงจังกับต้องเต ธิติ ศรีนวล ผู้กำกับเรื่องสัปเหร่อ ไทบ้าน สตูดิโอ ทำให้รู้ว่า ทำไมรเขาถึงเต็มที่กับการทำหนัง

ในวันที่ภาพยนตร์เรื่องสัปเหร่อ รายได้ฉุดไม่อยู่ 600 ล้านบาท (ปลายเดือนตุลาคม 2566 )ไปแล้ว ทำให้ชื่อของ ต้องเต ธิติ ศรีนวล ที่เป็นทั้งผู้กำกับการแสดง คนเขียนบท นักแสดง(คนบ้าในสัปเหร่อ) ตัดต่อ เลือกเพลงประกอบ และวางแผนการตลาด กลายเป็นที่รู้จักทั่วประเทศ

ไม่ว่าสัปเหร่อจะดังหรือไม่ดัง เขาก็ยังมีสไตล์เป็นตัวของตัวเอง ไม่ว่าเรื่อง เสื้อผ้า หน้าผม รองเท้าและวิธีคิด 

ต้องเต เข้าไปคลุกคลีเรียนรู้การทำหนังกับไทบ้าน สตูดิโอ ตั้งแต่เรียนปีที่ 1 มหาวิทยาลัยมหาสารคาม คณะศิลปกรรมศาสตร์และวัฒนธรรมศาสตร์ สาขาศิลปะการแสดง 

 

เปิดใจ\'ต้องเต\'เรื่องเล่าและแรงบันดาลใจ(แบบสั้นๆ)ก่อนทำหนัง \'สัปเหร่อ\'

นอกจากนี้เขายังเป็นคนชอบเรียนรู้ชีวิตผู้คนในมุมต่างๆ เคยลองเป็นขอทาน และลองเอาตัวเองไปอยู่ในอาชีพที่สนใจ เพื่อทำความรู้จักชีวิตอีกมุม 

นั่นคงเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เขาเข้าใจตัวละครในอาชีพนั้นๆ ได้อย่างลึกซึ้ง ไม่เว้นแม้กระทั่งการพูดคุยกับคนทำอาชีพสัปเหร่อ และลงไปคลุกกับวิถีสัปเหร่ออยู่นานโข

ในวัย 27 ปี(ปี 2566) ต้องเตประสบความสำเร็จจากหนังเรื่องแรกก็คือ สัปเหร่อ ทั้งรายได้และการยอมรับจากคนดู 

จึงเป็นที่มาของบทสนทนาสั้นๆ กับกรุงเทพธุรกิจ...

  • 1.ย้อนไปถึงวัยเด็ก คุณเป็นเด็กแบบไหน

ผมเป็นเด็กไม่ค่อยพูด แต่กล้าแสดงออก เวลาโรงเรียนมีกิจกรรมอะไรให้แสดงออก ไม่ว่าการแสดงตลก ทอล์คโชว์ โชว์วิทยาศาสตร์ โต้วาที ผมทำหมด

  • 2.ตอนเรียนปริญญาตรีตั้งใจจะเรียน 8 ปี เพื่ออะไร

ถ้าเราไม่ชอบวิชาไหน...ต้องเรียนด้วยเหรอ ผมจึงเปลี่ยนแนวคิดตัวเองใช้โควต้าในการเรียนเต็มที่ เลือกเรียนสิ่งที่อยากเรียน แม้จะใช้เวลานาน ผมไม่รู้สึกเสียเวลา เพราะหลักสูตรปริญญาตรีให้เรียนได้เต็มที่ 8 ปี

ผมเรียนมหาวิทยาลัยมหาสารคาม สาขาศิลปะการแสดง ตอนนั้นเพื่อนลงคณะนี้ให้ ตอนแรกก็คิดว่าไม่ใช่ตัวตนของเรา ก็พยายามปรับตัว เพื่อทำให้สิ่งที่เรียนเชื่อมโยงกับสิ่งที่เราทำอยู่ ทำให้ได้เปรียบเพื่อนๆ

อย่างการเขียนบทในละคร แม้ศาสตร์ละครเวทีกับภาพยนตร์จะแตกต่างกัน แต่มีสิ่งที่เหมือนกัน ขณะที่ละครเวทีมีการเล่าเรื่องที่ซับซ้อน มีบล็อกกิ้ง พอมาทำภาพยนตร์ โครงสร้างคล้ายกัน ต่างที่ละครทำบนเวที ส่วนหนังใช้การถ่ายทำ

นอกจากนี้ผมยังมีความอยากเรียนต่อปริญญาโท อยากเรียนรู้เพิ่มเติมเพื่อใช้ในการทำงานภาพยนตร์ ไม่ว่าเรื่องการบริหารจัดการ หรืออะไรที่แตกต่างจากที่เรียนมา 

  • 3.คุณเข้ามาคลุกคลีทำงานกับไทบ้าน สตูดิโอ ตั้งแต่เรียนปี 1 มหาวิทยาลัย? 

ผมทำงานตั้งแต่ปี 1 เมื่อรู้สึกว่า เรียนไม่ตรงกับความต้องการ ก็เริ่มออกมาใช้ชีวิตนอกมหาวิทยาลัย มาขอทำงานไทบ้าน สตูดิโอ ตั้งแต่ซีรีย์แรก และเมื่อแคสเป็นนักแสดงไม่ได้ ก็ขอเป็นตัวประกอบ เพื่อศึกษาตำแหน่งในกองภาพยนตร์ เพราะเราไม่มีความรู้เรื่องพวกนี้

ผมแสดงได้หมด แค่อยากแจมเป็นตัวประกอบ ตั้งแต่ภาคแรกเป็นตัวประกอบตลอด จากนั้นขอเขียนบท เลื่อนมาเป็นผู้ช่วยผู้กำกับและเป็นผู้กำกับ เพราะผมสนุกที่จะเรียนรู้กับเรื่องหนัง

  • 4.คุณเข้าไปเรียนรู้ชีวิตและอาชีพจากคนอื่นอย่างไร ?

ผมชอบใช้ชีวิต จะพาตัวเองไปเรียนรู้จริง อยากรู้ว่ามนุษย์เป็นยังไง เพื่อจะได้เข้าใจมนุษย์ให้มากๆ ผมเคยลองเป็นขอทาน คนเก็บขยะ อยากเรียนรู้อะไรก็ไปตรงนั้น

  • 5.ทำไมชอบหนังเงียบแบบชาลี แชปลิน ?  

ชาลี เล่าเรื่องตลกร้ายในภาพยนตร์ไม่ใช้เสียง เล่าด้วยภาพ ทำให้เราลองรีเสิร์ช วิเคราะห์ว่า ถ้าจะเอามาเล่าในแบบหนังไทบ้านที่มีความเป็นท้องถิ่นต้องทำอย่างไร ต้องเล่าด้วยภาพที่มีความเป็นสากลมากขึ้น ไม่ใช่แค่คนอีสานเข้าใจ คนทั่วไปก็ต้องเข้าใจ

เปิดใจ\'ต้องเต\'เรื่องเล่าและแรงบันดาลใจ(แบบสั้นๆ)ก่อนทำหนัง \'สัปเหร่อ\'