“ฮักเจ้าอีหลี” เปลือยชีวิตหมอลำบนแผ่นฟิล์ม
“ท็อป นรากร” และ “ต้าวหยอง” สองพระเอกดาวรุ่งเปิดใจ ยุค 2022 วงการหมอลำพัฒนาไปถึงไหนแล้ว รวมไปถึงการได้เล่นหนังเรื่องแรก "ฮักเจ้าอีหลี" ที่ถ่ายทอดทั้งเบื้องหน้าเบื้องหลังวงการหมอลำออกมาให้ได้รับรู้กัน
ท่ามกลางเสียงเรียกร้องให้หนังไทยมีความหลากหลายมากขึ้น ไม่วนเวียนอยู่แต่การทำแต่หนังตลก และหนังผี ค่าย M39 (เอ็มเทอร์ตี้ ไนน์) จึงขอส่ง “ฮักเจ้าอีหลี” ภาพยนตร์เกี่ยวกับคนที่วิ่งตามหาฝันในการเป็นนักร้องหมอลำออกมาให้ชมกัน
แถมยังดึงวง “ระเบียบวาทะศิลป์” คณะหมอลำเก่าแก่ที่สามารถปรับตัวให้ทันยุคสมัย จนสามารถ “ตก” แฟนๆ ที่เป็นคนรุ่นใหม่ รวมถึงกลุ่มที่ไม่ใช่คนอีสาน มาร่วมถ่ายทอดเบื้องลึกเบื้องหลังอาชีพหมอลำให้คนนอกอย่างเราได้รับรู้กัน
“ฮักเจ้าอีหลี” เป็นผลงานการกำกับของ แก๊ปเปอร์ - วรฤทธิ์ นิลกลม นำแสดงโดยนักร้องลูกทุ่งชื่อดัง เต๋า – ภูศิลป์ วารินรักษ์, ท็อป-นรากร กันจันทึก พระเอกหมอลำสุดฮอต เจ้าของเสียงหวานที่ได้พวงมาลัยจากแม่ยกครั้งละไม่ต่ำกว่า5หลัก, ต้าวหยอง ยุคลเดช ปัจฉิม แดนเซอร์หมอลำเจ้าของสมญา “ต้าวหยอง เอวเด้ง 4 G” ที่มียอดเข้าชมคลิปทาง TikTokกว่าพันล้านครั้ง รวมด้วย ตูมตาม – ยุทธนา เปื้องกลาง, กวาง จิรพรรณ, โบ๊ท อนาคามี, ศรีมาลา Drag Race Thailand
กรุงเทพธุรกิจได้มีโอกาสสัมภาษณ์พิเศษ 2 นักแสดงนำของเรื่อง “ท็อป-นรากร” และ “ต้าวหยอง ยุคลเดช” ที่มาถ่ายทอดเรื่องราวของวงการหมอลำให้ฟัง เสมือนเป็นการปูพื้นก่อนไปดูหนัง “ฮักเจ้าอีหลี” ว่าการจะก้าวขึ้นมาเป็นพระเอกหมอลำแบบที่พระเอกของเรื่องต้องการนั้น มันต้องผ่านความยากลำบากอะไรมาบ้าง
(ซ้าย) ต้าวหยอง ยุคลเดช (ขวา) ท้อป นรากร
ท็อป นรากร เริ่มต้นบทสนทนาด้วยการให้ภาพของหมอลำในปัจจุบันว่า มีการปรับปรุงให้ทันยุคสมัย เน้นความสนุกสนานมากขึ้น ทำให้คนภาคอื่นที่ฟังภาษาอีสานไม่ออก แต่ชอบดนตรีที่เร้าใจ แสง สี เสียงตระการตา การแต่งกายงดงามบนเวที หันมาติดใจหมอลำกันมากขึ้น
“ถึงแม้จะมีการเอาเพลงที่กำลังอยู่ในกระแสมาใส่มากขึ้นเพื่อความสนุกสนาน แต่เราก็ไม่ทิ้งรากเหง้าของหมอลำ ซึ่งคือการต่อกลอนนะครับ คนที่ดูหมอลำเค้าเปิดใจกว้างแล้ว ไม่มีขีดจำกัดว่าจะต้องเอากลอนลำเก่าๆ มาเท่านั้น เอาเพลงใหม่มาก็ได้ เพราะกลุ่มคนดูหมอลำมันหลายกลุ่มแล้ว
เราต้องตีโจทย์เอาใจคนทุกกลุ่ม กว่าจะออกไปแสดงมีการวางแผนหลายขั้นตอนมาก เพราะว่าเราจะเอาแต่เพลงหมอลำก็ไม่ได้ เอาแต่เพลงลูกทุ่งภาคกลางก็ไม่ได้ เราต้องเอาทุกรูปแบบที่ให้คนมาดูบนเวทีรู้สึกครบ รู้สึกอิ่ม ทั้งกลุ่มวัยรุ่น ผู้ใหญ่ คนแก่ เราเอาใจทุกกลุ่มเลย”
ท็อป นรากร ยังยกความดังชั่วข้ามคืนของ “ต้าวหยอง” มาเป็นกรณีตัวอย่างที่เห็นชัดเจนว่า ทำไมหมอลำถึงตกคนกลุ่มใหม่ให้เข้ามาเป็นแฟนได้
“น้องเป็นอีกโจทย์หนึ่งที่ทำให้เห็นว่าวัยรุ่นยุคใหม่ และคนกลุ่มใหม่ที่ไม่ใช่คนอีสาน มาดูหมอลำเพราะชื่นชอบการเต้น การแต่งตัวที่เข้ายุคสมัย มีความน่ารักแนวเกาหลี อาจจะไม่ได้โฟกัสการมานั่งฟังลำ แต่พอมาดูก็ได้เปิดโลกทัศน์ แล้วชอบหมอลำกลับไป”
ทั้งนี้ “ต้าวหยอง” เป็นแดนเซอร์ประจำวงระเบียบวาทะศิลป์ มีอยู่วันหนึ่ง คนในคณะได้ถ่ายคลิปเขาเต้นบนเวทีไปลง TikTok แล้วปรากฎว่ากลายเป็นไวรัลขึ้นมา มีคนเข้าไปดูกันเป็นล้านครั้งเพราะปัจจัยหลายอย่างประกอบบวกกัน ทั้งความเป็นหนุ่มน้อยหน้าตาดีของต้าวหยอง และการเต้นแบบมีแพสชั่น ใส่ไม่ยั้งของเขาจนได้สมญา “ต้าวหยอง เอวเด้ง 4 G” มาครอง
ต้าวหยองใน "ฮักเจ้าอีหลี"
ขณะที่ตัวต้าวหยองเองบอกกับเราว่ามีแฟนๆ มาเล่าถึงเหตุผลที่กลายมาเป็นแฟนหมอลำให้ฟังเช่นกัน
“บางทีก็มีแม่ๆ ทักมาว่า แม่เป็นโรคอันนั้นอันนี้นะ แต่มาดูผมแล้วทำให้แม่เค้ามีกำลังใจขึ้น จากที่เคยหมดกำลังใจ บางคนก็บอกว่า พี่ไม่เคยดูหมอลำเลย พี่เพิ่งมาหัดดูครั้งแรกเพราะต้าวหยองนี่แหละ”
แล้วการจะขึ้นมาเป็นพระเอกหมอลำแบบ “เคน” พระเอกในเรื่อง “ฮักเจ้าอีหลี” ต้องอาศัยอะไรบ้าง?
พระเอกหมอลำตัวจริงเสียงจริง “ท็อป นรากร” ให้คำตอบที่น่าสนใจเอาไว้ว่า ต้องอาศัย “ใจรัก” มาก่อนเลย เพราะอาชีพที่ต้องเดินสายทุกวันจนถึงเช้า ต้องรักจริงเท่านั้นถึงจะทำได้
สาเหตุที่ท็อปพูดแบบนั้นก็เพราะว่าการแสดงหมอลำนั้นจะเริ่มกันประมาณ 3 ทุ่มแล้วลากยาวไปจนถึง 6 โมงเช้า เรียกว่าดูจบก็ใส่บาตรต่อกันได้เลย
ส่วนในเรื่องทักษะนั้น ท็อปบอกว่าต้องอาศัยการฝึกฝน ฟังการลำของรุ่นแม่รุ่นพ่อ รุ่นพี่เยอะๆ แล้วมาฝึกตาม เพราะหมอลำต่างจากลูกทุ่ง ทั้งสำเนียง การร้อง และเพลง อย่างตัวเขาเองตอนที่เข้ามาเป็นหมอลำใหม่ๆ ต้องฝึกตั้งแต่การพูดภาษาอีสานซึ่งมีหลายสำเนียง ในขณะที่การร้องหมอลำจะยึดภาษาอีสานสำเนียงขอนแก่นเป็นหลัก
“ท็อปเป็นคนโคราชต้องปรับตัวเยอะ เพราะภาษาโคราชนั้นแตกต่างจากภาษาอีสานค่อนข้างมาก ทุกวันนี้ก็ยังมีพูดตกโคราชอยู่นะครับ (หัวเราะ)”
ในขณะที่ต้าวหยองทำให้ทุกคนที่นั่งอยู่ตรงนั้นฮากันครืนออกมากับการเล่าแบบซื่อๆ ว่า “ภาษาอีสานบ้านผม (กาฬสินธุ์) จะใช้คำว่า ไปไส..สิไปอีหยัง จะไม่ค่อยมีครับเท่าไร แบบว่าหน้านิ่งๆ แล้วพูดเหมือนหาเรื่องตลอดเวลา จะพูดแข็งๆ น่ะครับ”
- “ผู้ที่ปรับตัว” คือ “ผู้ที่อยู่รอด”
การปรับตัวของหมอลำในยุคปัจจุบันเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจสำหรับ “ความบันเทิงพื้นบ้าน” ว่าจะสามารถดึงคนรุ่นใหม่ให้หันมาสนใจได้อย่างไร
นอกเหนือจากปรับรูปแบบการแสดงให้สนุกสนานเข้าถึงง่ายขึ้นแล้ว หมอลำยุคใหม่ยังมีการไปฟีทเจอริงกับศิลปินแนวอื่น หรือความบันเทิงรูปแบบอื่นอีกด้วย ล่าสุดที่เป็นกระแสแรงมากก็คือ ระเบียบวาทะศิลป์ X มิสแกรนด์ไทยแลนด์ การนำหมอลำขึ้นไปโชว์บนเวทีประกวดนางงาม
“คนภาคกลางอาจคิดว่าไปแล้วจะฟังรู้เรื่องไหม แต่พอได้ลองไปจะ โอ้โห มันสนุกจริงๆ ตัวอย่างที่ชัดเจนเลยคือที่ระเบียบวาทะศิลป์ได้ร่วมงานกับมิสแกรนด์ ซึ่งแฟนคลับส่วนใหญ่เป็นผู้ใหญ่ แล้ว 90 เปอร์เซ็นต์เป็นคนภาคกลาง บางคนไม่เคยดูหมอลำเลย แต่พอได้ดูในฮอลล์แล้วฟีดแบ็คที่ออกมาคือสนุกมาก ไม่น่าเชื่อว่าหมอลำจะขนาดนี้แล้ว ทุกวันนี้เป็นคอนเสิร์ตแสง สี เสียงครบ จนเขาแบบว่า โห มันมาขนาดนี้แล้วเหรอ” ท็อป นรากร กล่าว
ขณะที่ต้าวหยองเสริมว่าเวลามาเล่นแถวกรุงเทพฯ ทางคณะระเบียบวาทะศิลป์อาจจะปรับให้ไม่มีกลอนลำ เน้นการเต้ยสนุกสนาน หรือโชว์เต้นไปเลย
“บางครั้งมีฟีดแบกมาว่ามีแต่ลำ ไม่มีเต้ย เราก็นำคำนั้นมาปรับแก้ไข เพราะเดี๋ยวมันจะกลายเป็นปากต่อปากว่า ไม่ต้องไปดูหรอก เต้ยไม่สนุกเลย”
- “ไลฟ์กลุ่มปิด” การปรับตัวในยุคโควิด
การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในช่วงกว่าสองปีที่ผ่านมาทำให้ความบันเทิงทุกรูปแบบเกิดการเปลี่ยนแปลงหมด ไม่เว้นแม้แต่หมอลำเองที่มีการถือกำเนิดของ “ไลฟ์กลุ่มปิด” ขึ้นมา ซึ่งถ้าจะอธิบายให้เข้าใจง่ายๆ ก็เทียบได้กับการจัดคอนเสิร์ตออนไลน์ของนักร้องนักดนตรีนั่นเอง
ต้าวหยองเป็นคนเล่าถึงที่มาที่ไปของการ “ไลฟ์กลุ่มปิด” ให้เราฟังว่า “ก่อนที่จะมาทำกลุ่มปิด เราออกไปข้างนอก ตั้งเวทีเรียบร้อยแล้ว แต่พอโดนยกเลิกมันก็เสียแรงไปเปล่าๆ พ่อ (ครูเอ๊ะ หัวหน้าวงระเบียบวาทะศิลป์) เลยมาจัดกลุ่มปิด ตั้งเวทีอยู่ที่เดิม แค่เปลี่ยนสคริปต์ เปลี่ยนเพลง ฯลฯ ให้มันเหมาะกับการไลฟ์สดมากขึ้น”
ขณะที่ ท็อป นรากร เสริมว่า ช่วงนั้นลำบากกันทั้งหมด ไม่มีรายได้เข้ามาเลย แต่ทางคณะยังต้องดูแลแดนเซอร์ ดูแลทุกคนในวงอยู่ จึงมาคุยกันว่าหาอะไรทำไหม เพราะแฟนๆ ก็คงคิดถึงพวกเขาเช่นกัน สุดท้ายผู้บริหารก็มีความเห็นให้ไลฟ์สด โดยไม่ต้องเก็บบัตรแพง แค่ประมาณร้อยบาท แล้วมีการตัดชุดใหม่ ทำอะไรแปลกใหม่ให้แฟนๆ ได้ดูไม่ซ้ำกันในแต่ละอีพี ซึ่งก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก
“แต่ละอีพีเราจะไม่ซ้ำ แต่งหญิงบ้าง แต่งเป็นคนป่าบ้าง เปลี่ยนคอนเทนต์ไปเรื่อยๆ แล้วเราจะโปรโมทเรียกแฟนๆ ด้วยการบอกก่อนว่าคอนเทนต์ต่อไปจะเป็นอะไร ทำให้คนอยากดู ได้รับการตอบรับดี เพราะเราทำเต็มที่ แฟนๆ ก็หายคิดถึง” ต้าวหยอง
- แฟนคลับที่แข็งแกร่งไม่แพ้ด้อมเกาหลี
“หมอลำ” ต้องมาคู่กับ “แม่ยก” ซึ่งจะบอกว่าวัฒนธรรมแฟนคลับของวงการหมอลำนั้นแข็งแกร่ง มีความ “ทุ่มเท” และ “เปย์หนัก” ไม่แพ้แฟนคลับด้อมนักร้องเกาหลีกันเลยทีเดียว แถมยังมีพัฒนาการรูปแบบการเปย์ไปเป็นการโอนเงินเข้าบัญชีนักร้องโดยตรงกันแล้ว
อย่างต้าวหยองนั้นเขาเล่าให้เราฟังว่าตอนที่เปิดบัญชีธนาคารครั้งแรกแล้วจัดไลฟ์กลุ่มปิด พอเข้าไปเช็คยอดเงินก็ถึงกับช็อก เพราะวันเดียวได้มาถึงครึ่งแสน เพราะเวลาซื้อตั๋วกลุ่มปิดในราคา 129 บาท พวกแม่ๆ ของเขาก็จะโอนเงินกันมาเกินเป็น 500, 1000 หรือ 1500 บาทก็มี
“ผมตกใจที่สุดแล้วตอนนั้น เพราะมันเป็นตังค์ก้อนแรกที่ผมไม่เคยเห็น ดีใจสุดๆ”
แต่ตอนนี้ต้าวหยองน่าจะไม่ตกใจกับเงินจำนวนนั้นแล้ว เพราะเมื่อช่วงวันเกิดที่ผ่านมา ยอดเงินที่เหล่าแม่ยกเปย์ให้เขานั้นพุ่งขึ้นไปถึง 1.4 ล้านบาทกันเลยทีเดียว
ขณะที่ ท็อป นรากร เล่าเรื่องมาลัยคล้องคอที่ถือเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของนักร้องหมอลำให้ฟังว่า ในปัจจุบันนี้ แอดมินบ้านแฟนคลับหลังต่างๆ จะเป็นคนรวบรวมเงิน แล้วโอนมาให้เขา พร้อมแจ้งยอดมาทุกวันว่าบ้านนี้ได้เท่าไร ทางเขาก็จะเตรียมเงินสดมาให้เท่ากับจำนวนเงินที่แฟนคลับโอนมา แล้วนำแบงก์มาเย็บเป็นมาลัย คล้องคอถ่ายรูปให้แม่ๆ ได้เห็น
- “ฮักเจ้าอีหลี” หนังเปลือยชีวิตหมอลำ
สำหรับภาพยนตร์เรื่อง “ฮักเจ้าอีหลี” ซึ่งเป็นการเล่นหนังครั้งแรกของทั้งคู่นั้น ท็อป กับ ต้าวหยอง บอกว่าสนุกมาก และไม่ยากอย่างที่คิด แถมยังได้รับคำชมจากทีมงานว่าเล่นกันได้เป็นธรรมชาติ เพราะได้รับบทที่ไม่ต่างจากตัวเองนัก
โดย “ต้าวหยอง” รับบท “แม็กซ์” เด็กหนุ่มขี้เล่น กวนๆ ที่คอยซัพพอร์ทพระเอกให้ได้เป็นนักร้องหมอลำอย่างที่ฝัน ขณะที่ “ท็อป” รับบทพระเอกหมอลำชื่อดังของวงที่ชอบใช้คำพูดแรงๆ ทำให้คนไม่ชอบขี้หน้า แถมยังถูกมองว่าขี้เก๊ก แต่จริงๆ แล้วเป็นคนดี
ทั้งคู่บอกด้วยว่ารู้สึกดีที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของหนังเรื่องนี้ที่น่าจะทำให้คนนอกได้เข้าใจวงการหมอลำมากขึ้น โดยในฐานะที่เป็นนักร้องหมอลำตัวจริงเสียงจริง พวกเขายืนยันว่า “ฮักเจ้าอีหลี” แทบจะถอดชีวิตของพวกเขาออกมาเลย
“เหมือนคนเขียนเอาชีวิตของพวกเราไปเขียนเป็นหนัง ที่สำคัญยังเป็นวงระเบียบวาทะศิลป์ มีป้ายขึ้น เวทีแสงสีเสียงก็จัดเต็มรูปแบบ คนจะได้เห็นทั้งหน้าเวที และหลังเวทีว่าพวกเราใช้ชีวิตกันยังไง” ท็อปกล่าว
“อยากชวนให้มาดู คุณจะได้เห็นอะไรหลายอย่าง โดยเฉพาะคนที่ยังไม่เคยเปิดใจให้หมอลำ คนที่คิดว่าดูหนังอีสานแล้วจะฟังไม่รู้เรื่อง ต้องมาดูเรื่องนี้เลย ผมมั่นใจว่าคนมาดูจะสนุกและชอบ เพราะพวกผมแสดง เข้าฉากกันยังสนุกเลย คนดูต้องสนุกไปกับพวกผมด้วย”
ปิดท้ายด้วย “ต้าวหยอง” ที่บอกว่าอยากให้คนรุ่นใหม่มาสืบสานวัฒนธรรมอีสานต่อไปเพื่อไม่ให้หมอลำสูญหายไป
"ฮักเจ้าอีหลี" ภาพยนตร์ที่จะทำให้คุณได้สัมผัสทั้งเบื้องหน้าเบื้องหลังวงการหมอลำ เข้าฉายแล้ววันนี้ ในโรงภาพยนตร์ใกล้บ้าน