Chaplin’s World ช่วงชีวิตแสนสุขของชาร์ลี แชปลิน

Chaplin’s World ช่วงชีวิตแสนสุขของชาร์ลี แชปลิน

ช่วงชีวิต 25 ปีสุดท้ายในคฤหาสน์หลังงาม ณ เมืองเวเว่ย์ สวิตเซอร์แลนด์ ได้กลายมาเป็นพิพิธภัณฑ์ที่จะพาเราไปรู้จักความเป็น "ชาร์ลี แชปลิน" ได้ดีที่สุด

ไม่จำเป็นต้องเกิดทันก็ยังรู้จักนักแสดงตลกดราม่าแห่งยุคหนังเงียบผู้โด่งดังมากที่สุดในโลกคนหนึ่งคนนี้ ชาร์ลี แชปลิน (Charlie Chaplin) กับการออกแบบบุคลิกที่เพียงเห็นครั้งแรกก็ฮาแล้วจำได้ไม่ลืม และกลายเป็นสัญลักษณ์ของภาพยนตร์ฮอลลีวูดในศตวรรษที่ 20

ช่วงชีวิตแห่งการก่อร่างสร้างตัวของเขานิยามได้ว่า “หัวเราะร่าน้ำตาริน” จากตรอกเล็กๆ ในลอนดอนสู่นักแสดงระดับโลกไม่ใช่หนทางที่โรยด้วยกลีบกุหลาบ ฉะนั้น ช่วงชีวิต 25 ปีสุดท้าย ซึ่งถือว่าเป็นช่วงชีวิตที่มีความสุขที่สุด แชปลินเลือกใช้ชีวิตที่สวิตเซอร์แลนด์ กับอูนา โอนีล (Oona O’Neill) ภรรยาคนที่ 4 ในปี 1953 มีคนแนะนำแชปลินให้เดินทางมาดูคฤหาสน์ในพื้นที่ราว 10 เอเคอร์ที่เมืองเวเวย์ (Vevey) แคว้นเลค เจนีวา (Lake Geneva Region) แห่งนี้

ด้วยความงดงามของอาคาร และที่ตั้งริมทะเลสาบเจนีวา มองออกไปเห็นเทือกเขาแอลป์ จึงทำให้คู่สามีภรรยาใช้เวลาตัดสินใจไม่นาน (เพียง 2 สัปดาห์) ก็ได้เลือก มานัวร์ เดอ บาน (Manoir de Ban) เป็นที่พำนักสุดท้าย และที่นี่ก็เป็นช่วงชีวิตที่มีความสุขที่สุดของเขา

Chaplin’s World เปิดตัวไปเมื่อปีที่แล้วเป็นพิพิธภัณฑ์ซึ่งใช้เวลายาวนานมากกว่าจะสำเร็จเสร็จสิ้น รวมทั้งหมดร่วม 16 ปี กับเงินลงทุนราว 100 ล้านฟรังก์ แต่การลงทุนทั้งหมดนี้นับว่าคุ้มค่า เพราะเพียงปีแรกก็สามารถดึงดูดคนมาเยือนได้มากกว่า 300,000 คน ด้วยการประชาสัมพันธ์และการเล่าลือปากต่อปากถึงความประทับใจ ซึ่งเราบอกได้เลยว่าคะแนนดีเลิศในเว็บแนะนำการท่องเที่ยวต่างๆ นั้นไม่ได้เกินจริงเลย

The Studio อ่านชีวิตผ่านภาพยนตร์

ภาพยนตร์ของแชปลินสะท้อนชีวิตและมุมมองความคิดที่มีต่อสังคมของเขาในแต่ละช่วงเวลา ถ้าใครเป็นแฟนคลับหรือเคยอ่านชีวประวัติของเขาก็คงจะทราบดี และต่อให้ไม่เคยรู้มาก่อน ถ้ามาถึงที่นี่ โลกของเขาก็จะถูกเผยออกมาให้กระจ่าง ด้วยวิธีเล่าเรื่องของพิพิธภัณฑ์ที่ทำงานร่วมกับพิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งของมาดามทุสโซซึ่งจำลองฉากในภาพยนตร์เรื่องดังของเขาออกมาให้ผู้ชมได้สัมผัสและมีปฏิสัมพันธ์กันได้อย่างสนุกสนาน

Chaplin’s World แบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลัก คือ The Studio และ The Manoir โซน The Studio ซึ่งในอดีตเคยเป็นพื้นที่โรงรถ ได้จำลองสตูดิโอถ่ายทำภาพยนตร์ขนาดเท่าจริงกับฉากหนัง 35 เรื่องจาก 81 เรื่องของแชปลินเพื่อเล่าเรื่องเกี่ยวกับภาพยนตร์และชีวิตของเขาจากมุมต่างๆ

เมื่อแรกเข้าไปเราจะได้ชมตัวอย่างภาพยนตร์ของ Chaplin และหลังจากม่านถูกเปิดออกก็จะเข้าสู่โลกของแชปลินอันน่าตื่นตาตื่นใจ เริ่มต้นกันที่ภาพยนตร์เรื่อง The Kid ที่สะท้อนภาพชีวิตวัยเด็กซึ่งเติบโตมาในตรอกเล็กๆ หมองหม่นในอังกฤษ ค่อยๆ เข้าสู่ฉากภาพยนตร์สารพัดเรื่องซึ่งทั้งเล่าถึงตัวภาพยนตร์เอง และที่มาของแรงบันดาลใจให้เกิดผลงานนั้น ในขณะเดียวกันก็ยังพูดถึงบุคคลที่มีชื่อเสียงในโลกภาพยนตร์ที่ได้รับอิทธิพลจากแชปลิน เช่น ไมเคิล แจ็คสัน และโรแบร์โต เบนิญญี นักแสดงและผู้กำกับเรื่อง Life is Beautiful เป็นต้น

การจำลองฉากจากภาพยนตร์หลายสิบเรื่องนั้นไม่ได้น่าทึ่งเพียงแค่โครงสร้างที่สวยงามแข็งแรง และการใช้มัลติมีเดียที่ล้ำแล้ว แต่ยังรวมถึงการเล่าเรื่องในแง่มุมต่างๆ และการเปิดโอกาสให้ผู้ชมได้ “เล่น” ด้วย ไม่ว่าจะแค่ถ่ายรูปด้วยเฉยๆ (ก็สนุกแล้ว) หรือจะอ่านเจาะทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งก็ย่อมได้ โซน The Studio จึงเหมาะกับคนทุกวัยที่จะใช้เวลาสนุกอยู่ได้เป็นชั่วโมงๆ โดยไม่เบื่อเลย

The Manoir คืนวันอันแสนสุข

เดินผ่านประตูบานใหญ่ของมานัวร์ เดอ บาน (Manoir de Ban) ซึ่งเรียกว่าส่วน The Manoir เราก็ก้าวเท้าเข้าสู่ที่อยู่อาศัย 25 ปีของแชปลิน มานัวร์แห่งนี้ลูกๆ ของแชปลินก็อยู่อาศัยต่อมาอีกหลายปี จนในที่สุดก็ได้เปลี่ยนมือเป็นพิพิธภัณฑ์ เมื่อการดูแลอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่เช่นนี้เป็นเรื่องเกินกำลังไปแล้ว

หุ่นขี้ผึ้งของชาร์ลี แชปลินในวัยเกษียณยืนต้อนรับเราอยู่ด้วยกิริยาร่าเริง หากไม่บอกคงไม่รู้ว่านี่คือแชปลินตัวจริงเมื่อปราศจากหนวด หมวก ไม้เท้า และคอสตูมอันเป็นเอกลักษณ์ แชปลินผู้ใช้ชีวิตอยู่ในเวเว่ย์ก็เป็นชายชราคนหนึ่ง ที่มีภรรยาอันเป็นที่รักเป็นดั่งลมใต้ปีกของเขา ภาพขนาดใหญ่ของอูนาที่ติดอยู่เบื้องหลังบอกได้เป็นอย่างดี

ในเดอะ มานัวร์นั้น เราจะได้พบกับบ้านหลังใหญ่ซึ่งเจาะลึกลงไปในการใช้ชีวิตบั้นปลายของแชปลิน บ้านที่ยังคงรักษาสภาพและการตกแต่งดั้งเดิมไว้เหมือนเมื่อครั้งเขายังมีชีวิตอยู่ ในขณะเดียวกันก็แทรกความเป็นพิพิธภัณฑ์ซึ่งเล่าเรื่องได้อย่างมีแนบเนียนและมีสไตล์ สีฟ้าเฉดที่แชปลินโปรดปรานถูกระบายลงไปที่ผนังเล่าเรื่อง ให้ความรู้สึกร่วมสมัย เฟอร์นิเจอร์ และรูปภาพต่างๆ จัดวางไว้ตำแหน่งเดิม เพิ่มเติมด้วยคำอธิบาย ตรงไหนที่ไม่มีการล้อมเชือกกั้น เราก็สามารถนั่งเล่น จับต้องได้ แต่โชคดีเหลือเกินที่ผู้มาเยือนที่นี่คงจะรู้มารยาทการชมพิพิธภัณฑ์เป็นอย่างดี แม้จะมีจำนวนมากถึงราวสามแสนคนภายในหนึ่งปี ทุกอย่างยังอยู่ในสภาพดี ไม่เสียและสูญหายไปไหน

เราได้ทำความรู้จักผู้คนที่สนิทชิดเชื้อกับเขาผ่านรูปภาพต่างๆ ในบ้าน ได้เห็นไลฟ์สไตล์ผ่านห้องรับแขก ห้องนั่งเล่นของครอบครัว ห้องน้ำที่มีแขกพิเศษยืนส่องกระจกอยู่ ห้องกินข้าวที่มีโต๊ะขนาดใหญ่ ซึ่งบรรดาพ่อแม่ลูกจะมานั่งกินข้าวพร้อมหน้ากันทุกวัน วิวร้อยล้านที่ผ่านหน้าต่างหลายบานเปิดสู่สวนกว้าง เบื้องหลังคือทะเสสาบเจนีวาและเทือกเขาแอลป์ วิดีโอครอบครัวที่บันทึกช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม การปิกนิกในระเบียงหลังบ้าน ลูกๆ ที่วิ่งเล่นในสวน ต้นไม้ขนาดใหญ่ บรรยากาศทุกอย่างยืนยันว่าที่นี่สร้างช่วงชีวิตอันแสนสุขที่สุดได้แน่นอน

ชั้นบนสุดเป็นห้องนอนของแชปลิน เหนือเตียงนอนที่เขาทอดร่างแล้วจากไปนั้นติดรูปของเขาตั้งแต่เด็กจนชรา เหมือนจะสรุปชีวิตของเด็กชายผู้ยากลำบากที่เติบโตต่อสู้มาจนกลายเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงระดับโลก มีข้าวของชิ้นจริงที่เป็นเหมือนสัญลักษณ์ของแต่ละช่วงวัยของเขาจัดแสดงอยู่ด้วย

ห้องสุดท้ายบรรจุเรื่องราวของอูนา สตรีแสนสวยผู้อ่อนเยาว์กว่าสามีถึง 35 ปี อูนาในวัย 18 พบรักกับแชปลินในวัย 53 ทั้งสองมีลูกด้วยกัน 8 คน และใช้ชีวิตเคียงข้างกันยาวนานจนแชปลินจากไปในวัย 88 ปี ประวัติของอูนา ภาพถ่ายจำนวนมาก หุ่นขี้ผึ้งของสองสามีภรรยาที่กำลังดูวิดีโอชีวิตของพวกเขาเองบ่งบอกให้รู้ถึงความรักความผูกพันที่มีต่อกันอย่างเหนียวแน่น

หลังจากความสนุกใน The Studio ที่ The Manoir นั้นคือความดื่มด่ำ เหมือนได้เห็นชีวิต 2 ภาคของชาร์ลี แชปลิน การทำงานที่โลดโผนและชีวิตส่วนตัวที่มีรายละเอียดหลายชั้น นี่คือ Chaplin’s World อย่างแท้จริง ซึ่งทุกคนจะสามารถทำความรู้จักกับโลกของเขาได้ภายในเวลา 2 – 3 ชั่วโมง

หากมาเที่ยวโลซานหรือเมืองใกล้เคียงในแคว้นนี้ ที่นี่คือที่ที่ไม่ควรพลาด ชมพิพิธภัณฑ์เสร็จแล้ว ยังเดินเล่นในสวนอันกว้างใหญ่ได้อีก มีเส้นทางเดินยาวพอควรที่ใช้เวลาเดินได้ถึง 20 นาที หรือจะนั่งชมวิวสูดอากาศบริสุทธิ์และวิวงดงาม แล้วกลับไปพร้อมความประทับใจในระดับอิ่มเอมได้เลย

ข้อมูลเพิ่มเติม www.chaplinsworld.com

www.lake-geneva-region.ch