รักเธอไม่มีหยุด ROUTE 12

รักเธอไม่มีหยุด ROUTE 12

ถ้าถามถึง "จุดหมาย" อาจต้องใช้เวลาคิดนาน ว่าที่ไหนควรค่าแก่การจดจำมากที่สุด

แต่ถ้าถามถึง "เส้นทาง" แล้วละก็ "Route 12" ไม่เคยทำให้คุณหรือใครผิดหวัง

บอกตามตรง ทุกครั้งที่เห็นสายฝนหล่นโปรยปราย หัวใจของฉันสั่นไหวทุกที ฟังดูเหมือนกำลังจะเป็นเรื่องโรแมนติก แต่เปล่าเลย ฉันหมายถึง ใจสั่นอยากออกเดินทางต่างหาก

ความชุ่มฉ่ำของน้ำใสๆ ทำให้ภาพธรรมชาติที่เคยแห้งแล้งดูสดชื่นขึ้นโดยไม่ต้องใช้ตัวช่วยใดๆ นั่นแหละเหตุผลที่ทำให้ใครๆ ก็หลงรักฤดูฝน แน่นอน ฉันเป็นคนหนึ่งในนั้น

และถ้าพูดถึงเส้นทางที่สวยงามในฤดูแห่งความสดใส Route12 หรือทางหลวงหมายเลข 12 ระหว่างพิษณุโลก-เพชรบูรณ์ ถือเป็นหนึ่งในเส้นทางที่สวยที่สุดในประเทศไทย จริงๆ

1.

ความจริงถนนสายนี้เป็นที่คุ้นเคยของบรรดานักเดินทาง เพราะจุดเริ่มต้นอยู่ที่อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก เลาะผ่านส่วนกลางของประเทศไทยแล้วไปสิ้นสุดที่จังหวัดมุกดาหาร โดยรัฐบาลวางแผนให้เป็นหนึ่งในเส้นทางยุทธศาสตร์สายเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก (East-West Economic Corridor) ที่เชื่อมระหว่างเมืองเมาะลำเลิง ประเทศพม่า และเมืองดานัง ประเทศเวียดนาม โดยมีศูนย์กลางการคมนาคมอยู่ที่จุดตัดของถนนทางหลวงหมายเลข 11 และถนนทางหลวงหมายเลข 12 บริเวณ "สี่แยกอินโดจีน" จังหวัดพิษณุโลก

แน่นอนว่า การพัฒนาต่างๆ เกิดขึ้นมากมายในจังหวัดที่ใครๆ ก็เคยใช้เป็น "ทางผ่าน" แต่สำหรับการท่องเที่ยวแล้ว พิษณุโลกและเพชรบูรณ์ มีศักยภาพมากพอที่จะใช้ต้อนรับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติทั่วโลกได้โดยไม่ต้องทำอะไรเลย

ฉันหมายถึง ความงดงามของธรรมชาติ วิถีชีวิตที่น่ารัก รวมถึงประวัติศาสตร์ที่เล่าผ่านโบราณสถานต่างๆ ล้วนเป็นความน่าสนใจแบบที่ไม่ต้องปรุงแต่ง และนั่นก็เป็นแรงขับเคลื่อนให้การท่องเที่ยวในเขตภาคเหนือตอนล่างพัฒนาไปในแนวทางที่ยั่งยืน คงทน

สำหรับทริปลุยฝนครั้งนี้ ฉันได้รับการเชื้อเชิญจากพี่ๆ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) สำนักงานพิษณุโลก ให้มาเก็บภาพบรรยากาศการท่องเที่ยวในช่วง Green Season ด้วยกัน และเพราะเป็นเส้นทางที่ชื่นชอบอยู่แล้ว มีหรือฉันจะปฏิเสธ

เราเริ่มต้นเดินทางกันที่ "ถนนมิตรภาพ" หรือถนนทางหลวงหมายเลข 12 ระหว่างพิษณุโลก-หล่มสัก(เพชรบูรณ์) โดยมีจุดเริ่มต้นอยู่ที่เชิงสะพานนเรศวร ริมแม่น้ำน่านฝั่งตะวันออก ตัดผ่านใจกลางเมืองพิษณุโลก สี่แยกอินโดจีน จนไปสิ้นสุดที่สี่แยกพ่อขุนผาเมืองอำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ บนเส้นทางสีเขียวสายนี้มีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจ ชนิดที่ใครๆ ก็ "ต้องแวะ" หลายจุด

เรน ฟอเรสท์ รีสอร์ท เป็นจุดแรก ไม่ได้จะชวนแวะพักตั้งแต่ยังไม่เริ่มเดินทางแต่อยากให้มารู้จัก "เจ้าของบ้าน" ที่เขาค่อยๆ ก่อร่าง สร้าง "รักษ์" จนกลายเป็นที่รู้จักของนักเดินทางแนวสุขภาพไปแล้ว

ถูกต้อง ฉันกำลังเอ่ยถึง พี่เล็ก หรือ ณัฐวัฒน์ วัฒนาประสิทธิ์ เจ้าของความสุขใน "ป่าฝน" แห่งนี้ เล่าย้อนไปหน่อยว่าพี่เล็กเคยป่วยเป็นโรคร้ายที่หมอถึงกับส่ายหน้า แต่เขาก็อดทนต่อสู้กับโชคชะตา และหันมาดูแลสุขภาพจนเอาชนะความทุกข์ทรมานนั้นได้ พี่เล็กจับมือกับพี่สาวเปิดรีสอร์ทเล็กๆ ริมลำน้ำเข็ก และเป็นที่รู้จักกันดีในชื่อ เรน ฟอเรสท์ รีสอร์ท ปัจจุบันนอกจากให้บริการที่พักที่อยู่แนบชิดกับธรรมชาติแล้ว ที่นี่ยังมี "เรน ฟอเรสท์ ฟาร์ม" เป็นแหล่งเรียนรู้ศึกษาสิ่งแวดล้อม และการผลิตพลังงานทดแทนต่างๆ ตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงด้วย

ไม่เพียงเท่านั้น การทำงานใกล้ชิดกับชาวบ้าน และการผูกพันอยู่กับลำน้ำเข็ก ทำให้พี่เล็กหันมาให้ความสำคัญกับการดูแลสิ่งแวดล้อมตลอดลำน้ำ โดยเป็นคนริเริ่มให้เกิดกิจกรรม "ล่องแก่งเก็บขยะ" ในบริเวณลำน้ำเข็ก ซึ่งพี่เล็กบอกว่า ลำน้ำสายนี้มีนักท่องเที่ยวเข้ามาทำกิจกรรม "ล่องแก่งน้ำเข็ก" อย่างเนืองแน่นทุกปี โดยเฉพาะหน้าฝน ซึ่งคนในชุมชนต้องช่วยกันดูแลความสะอาด เพื่อให้ภาพของสถานที่ท่องเที่ยวยังอยู่ในดวงใจของทุกคนต่อไป นั่นจึงทำให้เกิดกิจกรรมดีๆ มากมาย ทั้งการล่องแก่งเก็บขยะ การทำฝายกั้นน้ำ รวมไปถึงการจัดตั้งธนาคารขยะในโรงเรียนต่างๆ ที่อยู่ละแวกเดียวกัน

มาถึงถิ่นแบบถูกฤดูแล้ว จะไม่ลงเรือก็เห็นทีว่าจะเสียเที่ยว ว่าแล้วพวกเราก็พากันหย่อนก้นลงไปในเรือ(ลำเดียว)แล้วจ้วงพายให้สายน้ำไหลพัดไปหาความสนุกสนานในแก่งต่างๆ และแล้ว "น้ำเข็ก" ก็ไม่ทำให้ทุกคนผิดหวัง

2.

เบี่ยงเส้นทาง Route12 ที่บริเวณสามแยกบ้านแยง คณะของเราเลือกเลี้ยวซ้ายแล้วมุ่งหน้าสู่ อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า หลายคนรู้จักที่นี่ดี เพราะมีภูมิหลังเป็นยุทธภูมิสำคัญที่เกิดจากความขัดแย้งของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย(พคท.) แต่สุดท้ายก็ถูกปราบปราม จนกลายเป็นพื้นที่สีขาวอย่างที่เห็นในปัจจุบัน

โรงเรียนการเมืองการทหาร พิพิธภัณฑ์การสู้รบ กังหันน้ำ สำนักงานอำนาจรัฐ ผาชูธง ลานอเนกประสงค์ สุสาน ทปท. ที่หลบภัยทางอากาศ และหมู่บ้านมวลชน เหล่านี้คือประวัติศาสตร์ที่ยังคงจารึกภาพ(จำลอง)ไว้ภายในอุทยาน นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางเข้าไปศึกษาหาความรู้ได้ตลอดทั้งปี แต่ที่เห็นจะเป็นไฮไลต์ในช่วงฤดูฝน คือ น้ำตกต่างๆ ที่อยู่ภายในอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า โดยเฉพาะ "น้ำตกหมันแดง" ที่ใครๆ ก็อยากฝ่าดงทาก เพื่อไปชมความงดงามของ "ลิ้นมังกรสีชมพู" ดอกไม้หายากที่มีให้ชมเฉพาะหน้าฝนเท่านั้น แต่...เวลาเราน้อยจึงขอติดเอาไว้ก่อน

ฉันเลือกเดินไปชมความมหัศจรรย์ของธรรมชาติที่ "ลานหินปุ่ม" ซึ่งอยู่ริมหน้าผาสูง ห่างจากจุดเริ่มต้นของเส้นทางราวกิโลเมตรเศษๆ ที่ตรงนั้นมีลักษณะเป็นลานหินกว้าง รูปลักษณ์ของหินก็แตกต่างจากทั่วๆ ไป คือเป็นหินผุดขึ้นมาคล้ายปุ่มปม ซึ่งสันนิษฐานว่า น่าจะเกิดจากการสึกกร่อนของธรรมชาติ รอบๆ นั้นเราพบว่ามี "ดอกเปราะภูสีขาว" ขึ้นอยู่เต็มไปหมด มันทำให้บริเวณนั้นดูสดชื่นขึ้น พอๆ กับ "ดงตาไหวเหิน" ดอกไม้สายพันธุ์เดียวกับข่า แต่ว่ามีกลิ่นหอม และจะขึ้นบนยอดภูที่อยู่เหนือระดับน้ำทะเลปานกลาง 1,100 เมตรขึ้นไปเท่านั้น วันที่ฉันเดินทางไปถึง "ตาเหินไหว" กำลังพากันชูช่องดงาม เหมือนกับเป็นการต้อนรับนักท่องเที่ยวในช่วงฤดูฝน

จากถนนเล็กๆ ภายในอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า เราสามารถเดินทางต่อไปตามทางหลวงหมายเลข 2331 จนถึง ภูทับเบิก หรือภูเขากะหล่ำปลีที่หลายคนรู้จัก แต่ก่อนจะถึงพี่ๆ ททท. ชวนเราแวะขึ้นไปที่ ภูแผงม้า จุดชมวิวระหว่างทางเพื่อชมความงดงามของภูทับเบิกยามเย็นกันก่อน

ฟ้าใสๆ ถูกบดบังด้วยหมอกเมฆกลุ่มใหญ่ที่พัดมาเคล้าคลอเคลียร่างกายจนเรามองไม่เห็นทิวเขาสลับซับซ้อนเบื้องหน้า ทว่า หมอกหนากลุ่มนั้นกลับทำให้เรารู้สึกสดชื่นขึ้นราวกับได้ดื่มวิตามินซี เราใช้เวลาเนิ่นนานบนนั้นเพื่อรอให้เจ้าก้อนหมอกจางๆ คลายไป แล้วแสงสุดท้ายของวันก็ทำให้เราได้ภาพที่งดงามน่าจดจำ

ภูทับเบิกเปลี่ยนไป หลายคนบอกอย่างนั้น ฉันเองก็เห็นไม่ต่าง เพราะที่นี่เต็มไปด้วยรีสอร์ทสร้างใหม่ที่ดูไม่ค่อยกลมกลืนกับสถานที่ แปลงกะหล่ำปลียังมีให้เห็น ส่วน "ความเย็น" ยังคงทนไม่เปลี่ยนแปลง

กาแฟร้อนๆ อาจทำให้หลายคนคลายหนาว แต่สำหรับพวกเรา เรื่องราวเก่าๆ บนเส้นทางที่คลุกเคล้าไปด้วยฟองฝุ่นทำให้ภาพของภูทับเบิกดูอบอุ่นขึ้น แต่ข้อสรุปสุดท้ายดูเหมือนว่าภูทับเบิกที่คุ้นเคยกำลังจะ "ร้อนระอุ" ขึ้นไปทุกที

3.

ความเย็นไล่ตามพวกเราไปจนถึง ภูแก้ว รีสอร์ท แอนด์ แอดเวนเจอร์ ปาร์ค ที่นี่เคยอยู่ในภาพโปสเตอร์แหล่งท่องเที่ยวชวนฝันในอดีต น่าจะยุคเดียวกับกฤษดาดอย เชียงใหม่ น้ำตกไทรโยค กาญจนบุรี หรือไร่อุษาวดี สวนผึ้ง ราชบุรี แม้เวลาจะผ่านไปเนิ่นนาน แต่ปัจจุบัน "ภูแก้ว" ก็ยังคงสภาพ "ชวนฝัน" ไว้ได้ไม่เปลี่ยนแปลง แถมยังมีกิจกรรมสนุกๆ เพิ่มขึ้นมาเป็นสีสันให้นักเดินทางผู้รักความ "เสียว" อีกด้วย

ผู้ชายคุ้นหน้าอย่าง นที เริงสอาด ผู้จัดการฝ่ายกิจกรรม ต้อนรับเราด้วยบทเพลงเพราะๆ และอาหารมื้อค่ำแสนอร่อย คืนนั้นท้องฟ้ามืดมิด มองเห็นดาวดวงโตเต็มท้องฟ้า แม้ว่าจะไม่มีสายฝนหล่นพรำ แต่ขุนเขาหนาทึบเหล่านั้นก็ทำให้อากาศที่นี่ ณ ช่วงเวลานี้เย็นเอาเรื่องดีเหมือนกัน คือ...เข็มเทอร์โมมิเตอร์มันแตะอยู่ที่ 20 องศาเลยทีเดียว

นักท่องเที่ยวสายพันธุ์แอดเวนเจอร์ไม่น่าพลาดกิจกรรมสุดมันในภูแก้ว รีสอร์ท แอนด์ แอดเวนเจอร์ ปาร์ค เพราะแต่ละปีจะมีทีเด็ดมาให้ได้ทดลองกันเสมอๆ อย่างปีก่อนๆ ฉันเคยเล่น Mountain Speed Luge หรือเลื่อนภูเขาความเร็วสูง แบบที่ชาวม้งเล่นกัน แต่ที่มันและเสียวสุดๆ ในตอนนั้นคือ Giant Swing หรือโล้ชิงช้าท้าวัดใจ มันสนุกจนทำให้ฉันต้องเสียเส้นเสียงในลำคอให้กับเจ้าไจแอนท์สวิงไปหลายวัน

พี่นที บอกว่า วันนี้มีของเล่นใหม่มาให้ลองกันอีก นั่นก็คือ Tower Jump หรือการดิ่งหอสูง 50 ฟุต แบบ Free Fall และดีดเด้งลอยขึ้นสู่อากาศอีกครั้งและอีกครั้ง เป็นความมันแบบเดียวกับ "บันจี้ จัมพ์" ซึ่งวันนี้ฉันขอบอก "ผ่าน" ไปก่อน เพราะสุขภาพไม่อำนวย จริงๆ

เหมือนในแหล่งท่องเที่ยวชื่อดังต่างๆ ที่มักจะมีร้านกาแฟน่านั่งให้พักกายพักใจ เขาค้อก็โด่งดังพอที่จะมีร้านแบบที่ว่าให้บริการเช่นกัน แต่ฉันเลือกเข้าไปนั่งในร้าน Story Cup ด้วยเหตุผลง่ายๆ คืออยู่ติดกับถนนทางหลวงหมายเลข 12 และร้านก็ใหญ่ มีหลายมุมน่าถ่ายรูป ไม่รู้กาแฟร้านนี้จะรสดีถูกใจคอกาแฟบ้างหรือเปล่า แต่ชาเขียวเย็นที่เราสั่งมันมีอานุภาพมากพอที่จะทำให้เราอยากกลับไปนั่งที่ร้านนั้นอีกครั้ง และอีกครั้ง

พลังชาเขียวส่งให้เราอยากออกเดินทางท่องเที่ยวอีกครั้ง แต่ก่อนกลับไปใช้เส้นทางสายเดิม เราแวะนมัสการ วัดพระธาตุผาแก้ว ที่อยู่เข้าไปบนภูเขาเทือกใหญ่นั้นก่อน เดิมทีวัดแห่งนี้เป็นเพียง "พุทธธรรมสถาน" แต่ต่อมาได้รับการอนุมัติให้จัดตั้งเป็นวัด และมีนักท่องเที่ยวมากมายเดินทางเข้าไปชื่นชมสถาปัตยกรรมแปลกตา เพราะพระธาตุทั้งองค์ ตลอดจนสิ่งก่อสร้างต่างๆ ล้วนสร้างขึ้นจาก "เศษแก้ว" สีสันสวยงามทั้งสิ้น ใครไม่เคยชมใกล้ๆ อาจจะทึ่งในความงดงามเหล่านั้นเหมือนที่ฉันเป็น

มีคำกล่าวที่ว่า "พักเขาค้อ 1 คืน อายุยืน 10 ปี" เห็นจะเป็นเรื่องจริง เพราะนอกจากอากาศดีๆ ที่มีให้สัมผัสแบบนี้ตลอดปีแล้ว วิถีชีวิตผู้คน วัฒนธรรมที่น่ารัก ทำให้เรารู้จักที่จะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขมากขึ้น

ฉันเดินทางกลับมาตามทางหลวงหมายเลข 12 แม้แดดจะร้อนแต่อากาศไม่เลวร้ายอย่างที่คิด อาจเพราะตลอดเส้นทางมีต้นไม้ใหญ่และธรรมชาติที่สดใสแวดล้อมอยู่ ทำให้เรารู้สึกเย็นกาย-เย็นใจ เหมือนกำลังเดินทางอยู่ใน "ฤดูที่แตกต่าง" มันช่างมีความสุขดีจริงๆ

.................
การเดินทาง

เนื่องจากพระเอกหลักของการท่องเที่ยวครั้งนี้อยู่ที่ "ทางหลวงหมายเลข 12" (Route12) ระหว่างพิษณุโลก-เพชรบูรณ์ จึงแนะนำให้เดินทางโดยรถยนต์ส่วนตัว เริ่มต้นจากจังหวัดพิษณุโลก แล้วใช้ทางหลวงหมายเลข 12 มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออก ผ่านอำเภอวังทอง ซึ่งจะเริ่มพบสภาพภูมิประเทศที่แตกต่างคือเป็นภูเขาสูง มีน้ำตกต่างๆ ระหว่างทาง รวมถึงจุดล่องแก่งลำน้ำเข็กด้วย

จากนั้นประมาณกิโลเมตรที่ 68 จะมีทางแยกซ้ายมือไปอำเภอนครไทย เลี้ยวซ้ายใช้ทางหลวงหมายเลข 2013 จนถึงแยกเข้า "อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า" เดินทางโดยใช้เส้นทางหมายเลข 2331 จนถึงอุทยานฯ แล้วสามารถใช้เส้นทางเดียวกันเดินทางต่อไปยัง "ภูแผงม้า" และ "ภูทับเบิก" จากนั้นให้ใช้ทางหลวงหมายเลข 2372 ที่แยกอำเภอหล่มเก่า มาเรื่อยๆ จนถึงแยกเข้าอำเภอหล่มสักให้เลี้ยวขวากลับมาใช้ทางหลวงหมายเลข 12 มุ่งหน้าสู่อำเภอเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ ซึ่งแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ จะอยู่บนทางหลวงเส้นนี้ ถือเป็นการเดินทางท่องเที่ยวแบบครบถ้วนตามเส้นรอบวงของถนนทางหลวงหมายเลข 12 ระหว่างพิษณุโลก-เพชรบูรณ์

สอบถามการเดินทางหรือรายละเอียดต่างๆ ได้ที่ ททท.สำนักงานพิษณุโลก โทรศัพท์ 0 5525 2742-3 หรือ www.facebook.com/greenseasonfunall