AI อาจไม่ได้ทำคนตกงาน แต่บริษัทปลดคนออกเพราะกลัวความไม่แน่นอน

AI อาจไม่ได้ทำคนตกงาน แต่บริษัทปลดคนออกเพราะกลัวความไม่แน่นอน

บริษัททั่วโลกเร่งปลดคนออก และโทษ AI ว่าเป็นตัวการ แต่ผู้เชี่ยวชาญเคมบริดจ์ชี้ ปัญหาจริงคือ องค์กรกลัวความไม่แน่นอน กลัวบริหารต้นทุนผิดพลาด จนผลักพนักงานหมดอนาคต

KEY

POINTS

  • ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่าหลายบริษัทใช้ AI เป็นข้ออ้างในการปลดพนักงาน แต่สาเหตุที่แท้จริงคือความกลัวต่อความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ และกลัวการตัดสินใจผิดพลาด
  • ความลังเลของบริษัทต่างๆ ก่อให้เกิดภาวะ "ชะงักงันด้าน HR" ซึ่งไม่เพียงแค่เกิดการเลิกจ้าง แต่ยังรวมถึงการระงับการจ้างงานใหม่ การเลื่อนตำแหน่ง และการขึ้นเงินเดือน
  • การเตรียมองค์กรให้พร้อมรับยุค AI ที่ถูกต้อง คือการลงทุนฝึกอบรมและพัฒนาทักษะพนักงาน ไม่ใช่การลดจำนวนคน ซึ่งมักเป็นการตัดสินใจจากการคาดการณ์มากกว่าข้อเท็จจริง

ท่ามกลางกระแสที่หลายบริษัททั่วโลก โดยเฉพาะในสายงานด้านเทคโนโลยีและสายงานบริการ ออกมาชี้นิ้วว่า “AI” คือ เหตุผลเบื้องหลังการปลดพนักงานรอบใหม่ แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านพฤติกรรมองค์กร กลับมองแตกต่างออกไปว่า “เรื่องจริงอาจไม่ใช่แบบนั้น”

โธมัส รูเลต์ (Thomas Roulet) ศาสตราจารย์ด้านสังคมวิทยาองค์กรและภาวะผู้นำ จากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ (University of Cambridge) เขียนโพสต์ใน LinkedIn ว่า แม้บริษัทจำนวนมากจะอ้างว่า “ปลดคนออกเพราะ AI มาแทนที่” แต่แท้จริงแล้วไม่ใช่ เพราะสาเหตุจริงๆ กลับมาจาก “ความไม่แน่นอน” และ “ความกลัวว่าจะตัดสินใจบริหารงานผิดพลาด”

“เรามักได้ยินบริษัทต่างๆ พูดถึงการปลดพนักงานแล้วโทษ AI แต่ในความเป็นจริง บริษัทเหล่านี้กำลังลังเล ไม่กล้าตัดสินใจเรื่องทรัพยากรบุคคลในช่วงที่ตลาดแรงงานและเศรษฐกิจ มีความไม่แน่นอนสูงมาก” โธมัส รูเลต์ อธิบาย

เขาเตือนด้วยว่า ความลังเลนี้อาจส่งผลยาวนานต่อเส้นทางการเติบโตของพนักงาน และการพัฒนา “ทุนมนุษย์” (Human Capital) โดยเฉพาะด้าน โอกาสเติบโตและการเคลื่อนย้ายตำแหน่งในสายอาชีพ

“บริษัทกลัวบริหารธุรกิจพลาด” มากกว่า “กลัว AI”

รูเลต์อธิบายเพิ่มเติมกับ Business Insider ว่า ปรากฏการณ์ “ชะงักงันด้าน HR” (HR Freeze) เกิดขึ้นกว้างขวางกว่าที่คิด และไม่ได้เกี่ยวข้องกับ AI เพียงอย่างเดียว 

“เราพูดกันมากเรื่องการปลดคน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริง โดยเฉพาะในสหรัฐฯ คือการ ‘หยุดนิ่ง’ ด้านทรัพยากรบุคคลทั้งหมด” เขากล่าว

โดยปัจจัยสำคัญที่ทำให้บริษัทไม่กล้าตัดสินใจลงทุนปรับปรุงส่วนงานต่างๆ ให้อัปเดตใหม่ทันสมัย มีตั้งแต่ ความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์, ภาษีศุลกากร. ผลกระทบของ AI ต่อโครงสร้างงาน และภาวะการเงินที่สั่นคลอนจากหนี้ภาครัฐ

การ “แช่แข็ง” การตัดสินใจนี้ ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การไม่จ้างงานพนักงานใหม่หรือปลดพนักงานเดิมออก เท่านั้น แต่ยังรวมถึง การเลื่อนตำแหน่ง การขึ้นเงินเดือน และการโยกย้ายตำแหน่งงานในระดับแนวนอน (lateral move) ซึ่งหมายถึง การย้ายงานหรือการย้ายตำแหน่งในองค์กร โดยเปลี่ยนไปรับบทบาทหน้าที่ใหม่ในระดับเดียวกันกับตำแหน่งเดิม แบบไม่ต้องเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้น

การ “แช่แข็ง” การตัดสินใจนี้ ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การไม่จ้างงานพนักงานใหม่ หรือปลดพนักงานเดิมออก เท่านั้น แต่ยังรวมถึง การไม่เลื่อนตำแหน่ง การไม่ขึ้นเงินเดือน และการไม่โยกย้ายตำแหน่งงานในระดับ lateral move (หมายถึง การย้ายงานหรือการย้ายตำแหน่งในองค์กร เปลี่ยนไปรับบทบาทหน้าที่ใหม่ในระดับเดียวกันกับตำแหน่งเดิม ไม่ต้องเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้น) พูดง่ายๆ ก็คือไม่ตัดสินใจทำอะไรเลย 

รูเลต์ อธิบายอีกว่า “ถ้าบริษัทไม่สามารถมอบโอกาสให้พนักงานได้เติบโต แรงจูงใจในการทำงานก็จะลดลง และในเศรษฐกิจที่การจ้างงานใหม่มีน้อย คนจำนวนมากจะติดอยู่ในตำแหน่งเดิมโดยไม่มีทางขยับ”

“การปรับตัวองค์กรเพื่ออนาคต” ไม่ใช่แค่การปลดคนออก

รูเลต์ยังโต้แย้งแนวคิดของผู้บริหารบางราย ที่อ้างว่า การปลดคนคือการ “เตรียมองค์กรให้พร้อมรับอนาคต” หรือ “future-proofing” โดยเขามองว่า การเตรียมความพร้อมสำหรับยุค AI ควรหมายถึง การฝึกอบรมพนักงานใหม่ และเปิดโอกาสให้พวกเขาเรียนรู้ทักษะที่ยืดหยุ่นได้ ไม่ใช่แค่การลดจำนวนคนในองค์กร

เขายังเสริมว่า การเลย์ออฟพนักงานออกจะมีเหตุผลก็ต่อเมื่อ บริษัทเข้าใจอย่างชัดเจนว่า “งานไหนที่ AI ทำแทนได้จริง”

“พบว่ามีหลายกรณี ที่การปลดพนักงานยังเป็นแค่การคาดหวัง ไม่ใช่ข้อเท็จจริง เพราะการปรับตัวกับเทคโนโลยีต้องใช้เวลา ทดลอง และเรียนรู้จากความผิดพลาด” รูเลต์ เน้นย้ำ

คำพูดของรูเลต์เกิดขึ้นในช่วงที่บริษัทในหลายอุตสาหกรรม โดยเฉพาะสายเทคโนโลยีและสายงานบริการ กำลังประกาศปลดพนักงานพร้อมเหตุผลที่แตกต่างกันออกไป

บริษัทต่างๆ ใช้เหตุผลไม่เหมือนกันในการปลดพนักงาน

ในกลุ่มบริษัทที่เน้น AI เป็นหลัก การปลดคนออก ถูกอธิบายว่าเป็นการ “ปรับโครงสร้างเพื่อ AI” ยกตัวอย่างเช่น บริษัท xAI ของ อีลอน มัสก์ (Elon Musk) ได้ดำเนินการลดจำนวนพนักงานในทีม data annotation ลงประมาณ 1 ใน 3  แต่เพิ่มตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญด้านการสอน AI (AI tutor) เพิ่มขึ้นถึง 10 เท่า เพื่อฝึกโมเดล Grok

ส่วน Snorkel AI ปลดพนักงาน 13% โดยอ้างว่าเป็นการลดส่วนงานเก่าที่ไม่สำคัญ เพื่อรักษางานที่เกี่ยวข้องกับ AI เป็นหลัก ขณะเดียวกัน บริษัทยักษ์ใหญ่ใน Big Tech อย่าง Microsoft และ Salesforce ก็ลดคนในบางฝ่าย แต่เปิดรับตำแหน่งใหม่ที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ AI โดยตรง

ขณะที่บริษัท Meta ใช้นโยบาย “ยกระดับมาตรฐานผลงาน” (raising the bar on performance) เพื่อคัดพนักงานที่ทำผลงานต่ำออก ส่วนทางด้านบริษัท Workday และ HPE ก็อธิบายว่าการปลดคนออกของบริษัทนั้น เป็นส่วนหนึ่งของการปรับโครงสร้างต้นทุนให้เหมาะสมกับกลยุทธ์ที่เน้น AI

ในอีกด้านหนึ่ง บริษัทที่ปรึกษาอย่าง PwC ใช้เหตุผลต่างออกไป โดยระบุว่าการปลดพนักงานราว 2% ของสหรัฐฯ ในเดือนพฤษภาคม มาจาก “อัตราการลาออกโดยธรรมชาติที่ต่ำเป็นประวัติการณ์” ทำให้ต้องปรับสมดุลภายในองค์กร

ส่วนในกลุ่มบริษัทที่ทำงานด้าน “โครงสร้างพื้นฐานและการติดป้ายข้อมูลสำหรับ AI” เช่น Scale AI การปลดคนมาจากสาเหตุอื่น เช่น การจ้างงานมากเกินไป กำไรที่ลดลง และการเปลี่ยนแปลงของลูกค้า

อ่านมาถึงตรงนี้ ใครที่เป็นพนักงานออฟฟิศคงพอจะมองออกแล้วว่า ในยุคที่ “AI” ถูกใช้เป็นเหตุผลของทุกอย่าง ตั้งแต่การปลดคนจนถึงการปรับกลยุทธ์องค์กร โธมัส รูเลต์กลับชี้ให้เห็นอีกมุมว่า ปัญหาอาจไม่ได้อยู่ที่เทคโนโลยี แต่คือ “ความกลัวขององค์กร” เมื่อองค์กรที่ไม่กล้าตัดสินใจ ก็ส่งผลให้การเติบโตของพนักงานหยุดชะงักไม่รู้ตัว ท้ายที่สุด..ความลังเลนั้นอาจเป็น “ภัยเงียบ” ที่กระทบแรงจูงใจ การพัฒนา และโอกาสในสายอาชีพของคนทำงานทั้งระบบ

 

อ้างอิง: Businessinsider